วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

















"ชาวกรุง" อีคิวต่ำสุดโต่ง! โมโห คลั่ง ฆ่า เป็นอาจิณ

อารมณ์นั้นเปรียบดั่งลาวาที่เดือดอยู่บนภูเขาไฟ เมื่อถูกปลุกเร้าจากสภาวะแวดล้อมรอบกายมากขึ้น ๆ ก็พร้อมจะระเบิดออกมาผลาญทุกส่ิง  ถ้ามองภาพในสังคมเมืองอย่างกรุงเทพมหานครก็จะพบว่า ลาวาของแต่ละคนนั่นพลุ่งพล่านกันอย่างเต็มที่ และจุดเดือดอารมณ์ที่ไร้การควบคุมนี้เองก็นพมาซึ่งเหตุอาชญากรรม

สะท้อนถึงภาวะอีคิวต่ำ ( E.Q. Emotional Quotein คือความฉลาดทางอารมณ์ ) ที่ทำให้คนมีระดับความอดทนลดลง กลายเป็นสภาวะทางอารมณ์ที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ กระทั่งนำไปสู่พฤติกรรมที่แสดงออกอย่างรุนแรง

โดยเฉพาะที่เห็นได้บ่อย ๆ ในกรุงเทพฯตั้งแต่เหตุการณ์เบา ๆ อย่างทะเลาะวิวาทกันบนท้องถนนเพราะบีบแตรไล่กัน การดื่มสุราและเกิดการทะเลาะวิวาท ฯลฯ หรือเหตุร้ายแรงที่ถึงขั้นเอาชีวิตเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อย่างเช่นกรณีนายทหารท่านหนึ่งตั้งใจขับรถพุ่งชนแพทย์หญิง เพราะเกิดความเครียดจนไม่สามารถควบคุมอามรมณ์ของตนเองได้ หรืออย่างกรณีไฮโซหนุ่มขับรถยนต์ไล่บี้คนเดินถนนริมฟุตบาธจนถึงแก่ชีวิต ฯลฯ

จากการสำรวจสุขภาพจิตคนกรุงเทพฯ ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  และมหาวิทยาลัยมหิดล  ที่ทำการสำรวจจาก 100,000 คน ทั่วประเทศ ในปี 2551-2553 เผยว่าผลสำรวจสุขภาพจิตของคนไทยทั่วภูมิภาคล้วนมีความสุขเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยกเว้นชาวกรุงเทพมหานครมีความสุขลดลงต่อเนื่องกันถึง 3 ปี

กลายเป็นตัวบ่งถึงภาวะ E.Q. ของชาวกรุงว่าเข้าข่ายวิกฤติและมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคจิตมากขึ้น  ซึ่งดูจากคดีที่มีความรุนแรงก็ล้วนเกิดโดยฝีมือคนเมืองแทบทั้งสิ้น

เจาะเบื้องหลังการสำรวจสุขภาพจิตคนไทย

แน่นอนว่าาชนวนเหตุที่่พบนั้นเริ่มมาจากตัวบุคคลเอง  และอีกส่วนหนึ่งเป็นเกิดจากสภาพแวดล้อมรอบกาย นพ.อภิชัย มงคล  อธิบดีกรมสุขภาพจิต  เปิดเผยว่า  การวัดสุขภาพจิตของผลสำรวจดังกล่าวจะใช้ 4 ประเด็นในการวัด  เพื่อให้ได้ผลที่มีความสมดุลกัน

"ประเด็นแรกคือเราวัดจากเรื่องสภาวะทางจิตใจ เรื่องการซึมเศร้าต่าง ๆ ส่วนในประเด็นที่สองวัดจากเรื่องของความสามารถทางจิตใจว่าสามารถรับมือในความเปลี่ยนแปลง การจัดการความเครียด การมองโลกในแง่ดีแค่ไหน  ในประเด็นที่สามคือวัดคุณภาพของจิตใจ การยินดี  อยากช่วยเหลือผู้อื่นที่อยู่ในสภาวะยากลำบาก  วัดว่าเราเป็นคนที่มีจิตสาธารณะ  มีจิตการกุศลช่วยเหลือคนอื่นหรือเปล่า  ส่วนประเด็นสุดท้ายวัดจากเรื่องสภาพแวดล้อมครอบครัว  ฉะนั้นมันจึงเป็น 4 ประเด็นที่สมดุลกัน  เพื่อให้รับรู้ว่าภาพรวมบุคคลนั้นมีสุขภาพจิตอย่างไร"

ซึ่งสถิติที่ประกาศออกมานั้นเป็นการสุ่มสำรวจจากอาสาสมัครทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ  นพ.อภิชัย  กล่าวเพิ่มเติมว่า  จากผลสำรวจนั้นเบื้องต้นก็จะมีการนำมาพัฒนากลยุทธเพื่อหวังจะให้สภาวะทางอารมณ์ของชาวเมืองในแต่ละจังหวัดให้อยู่ในระดับที่ดียิ่งขึ้น 

"ทางเราก็จะเผยแพร่ข้อมูลอยู่เป็นระยะว่า ทำอย่างไรจะให้ดีขึ้น มีทางเลือกหลากหลายประการ ที่จะทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้นได้แค่ทำไม่กี่เรื่องโดยไม่ต้องทำทุกเรื่อง  ซึ่งจะมีข้อมูลรายละเอียดบอกว่าจังหวัดใดมีจุดอ่อนตรงไหน  เพราะใน 4 ประเด็นนั้นแต่ละจังหวัดจุดอ่อนจะไม่เหมือนกัน  ไม่ใช่ทุกคนจะต้องทำเหมือนกัน  นี่คือเรื่องของสังคม ชุมชน และตัวบุคคล  ถ้ารู้สึกว่ามีปัญหาความสุขต่ำกว่าคนทั่วไป ก็ควรจะพัฒนาความสามารถในทางจิตใจเรื่องของความดีงามของจิตใจ"

เรื่องของสุขภาพจิตนั้นคงเป็นเรื่องที่ละเอียดละอ่อนเกินกว่าจะให้ออกกฎหมายมาควบคุมอารมณ์ความรู้สึก  ฉะนั้นคงถือเป็นสภาวะฉุกคิดที่ทุกฝ่ายต้องเร่งตระหนักเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงจากลาวาอารมณ์นี้ได้อีก

คดีเยอะขึ้น ตำรวจก็เดือดร้อนจากคนกรุงอีคิวต่ำ

จากเสียงของผู้พิทักษ์สันติราชอย่าง พล.ต.ต.ปิยนะ  อุทาโย  รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ยอมรับว่า  ปัจจุบันคนจำนวนมากมีความอดทนน้อยลง  สัมผัสได้จากเหตุการณ์หลาย ๆ กรณี เช่น ปัญหาเรื่องการจราจรเล็ก  แล้วจบท้ายด้วยการทำร้ายร่างกาย  หรือแม้แต่ปัญหาครอบครัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ถูกขยายขึ้นมาจนนำมาสู่ปัญหาที่ใหญ่ขึ้น

"ต้องยอมรับว่า ใน 3-4 ปีหลัง มีการยกระดับของปัญหาอาชญากรรมขึ้นมาเยอะมาก  ทั้ง ๆ ที่ดูแลปัญหาบางอย่างก็น่าจบได้ง่าย ๆคดีจราจรเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยว่าคนจะยอมกันได้น้อยลง  และนอกจากนี้ยังมีเรื่องการทะเลาะวิวาท หรือเรื่องของนักการเมืองก็มีลักษณะคล้าย ๆ กัน แต่ถ้าถามว่าสาเหตุมาจากการลดลงของอีคิวในคนเมืองหรือเปล่านั้น  ผมมองว่าก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งเท่านั้น  เพราะอีคิวมันก็ถือเป็นเรื่องที่กว้างเกินไป  แต่ถ้าเราเจาะลึก ๆ ปัญหาหลักน่าจะเป็นความอดทนที่น้อยลง"

ซึ่งพอเกิดปัญหาในลักษณะนี้ขึ้นมามาก ๆ การแก้ไขปัญหาก็ทำได้ยากขึ้นตามไปด้วย  ซึ่งมีหลายครั้งที่ตำรวจจะต้องเข้ามาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย  ซึ่งบางครั้งก็สำเร็จ บางครั้งก็ไม่สำเร็จ และก็มีอีกหลายครั้งที่ตำรวจได้รับลูกหลงจากปัญหาความอดทนที่น้อยลงของประชาชนไปด้วย

กรณีศึกษาซ้ำซาก

"ลูกศิษย์ของดิฉันที่เป็นตำรวจยังถูกยิงตายเลย  เพราะว่าไปพูดจาสอนพลตำรวจที่ยศต่ำกว่าแต่อายุมากกว่า  พอถึงจุด ๆ กลับหนึ่งกลับถูกยิงตาย  เพราะนายตำรวจผู้นั้นเขาควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ และไม่ใช่ว่าลูกศิษย์ของดิฉันจะไม่ดี เชื่อว่าเขาพูดด้วยความหวังดีแต่คนเขารับไม่ได้ เพราะมองคนละมุม"

อีกตัวอย่างหนึ่งของบุคคลที่ขาดการควบคุมทางอารมณ์จนเกิดเหตุสลดใจของ รศ.สุพัตรา  สุภาพ  อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา  คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า  สภาพแวดล้อมนั้นเป็นตัวยั่วยุให้คนนในปัจจุบันขาดการควบคุมทางด้านอารมณ์

ทั้งนี้  เราสามารถเสริมสร้างความฉลาดทางอารมณ์ได้ตั้งแต่วัยเด็ก  เพื่อที่จะรู้จักควบคุมตนเองให้พ้นจากสิ่งเร้ารอบข้าง  และจัดการปัญหาโดยไม่ใช้ปัญญามากกว่าอารมณ์  รศ.สุพัตรา สุภาพ  กล่าวว่า  การบริหารอารมณ์นั้นเป็นมีอยู่หลายปัจจัย  ทั้งอยู่ที่ตัวเรา คนอื่น และสิ่งแวดล้อม  แต่หลัก ๆ เลย ถ้าใครก็ตามได้รับความอบอุ่นจากบ้าน จากโรงเรียน จากเพื่อน เขาก็จะไม่ค่อยทำผิด  จะมีสุขภาพจิตที่ดีบริหารอารมณ์ของตัวเองได้

"ทุกคนเป็นคนดี เพียงแต่ว่าถ้าเขาไม่ดีเราก็ปรับเขา  ถ้าเขาดีอยู่แล้วเราก็ช่วยให้เขาดีขึ้น  ทุกวันนี้ที่ทำผิดกันเพราะสิ่งแวดล้อมไปทำลายเขา  มนุษย์เรามีลักษณะปรับตามสิ่งแวดล้อม  เมื่อสิ่งแวดล้อมมันยั่วคน พอถึงจุดหนึ่งมันก็ระงับอารมณ์ไม่ได้  เราสังเกตได้เลยว่าอารมณ์มันอยู่ที่ตัวเรา  เพราะฉะนั้นก็จะเห็นว่าคนมั่งมีไม่ใช่จะต้องประพฤติตัวดีเสมอไป  มันมีสิ่งยั่วยุรอบข้างทำให้เขาเป็น แต่เราสร้างอารมณ์ควบคุมคุณภาพของอารมณ์ได้ตั้งแต่เล็ก  เรื่องของอารมณ์มันต้องช่วยเหลือกันตั้งแต่ครอบครัว โรงเรียน สิ่งแวดล้อม เพื่อน ฯลฯ"

ขณะเดียวกันในมุมมองของ ขจรศักดิ์  ใจเที่ยง  พนักงานบริษัทควบคุมการก่อสร้างย่านธุรกิจใจกลางเมือง  ก็เปิดเผยว่าในสังคมเมืองกรุงนั้นมีความเครียดมากกว่าในอดีต  ซึ่งเกิดจากปัจจัยที่เชื่อมโยงกันในหลายมิติทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และตัวเองก็ตกอยู่ในสภาวะเครียดก็เนื่องมาจากปัญหาทั้งด้านการเมือง สังคม และเรื่องปากท้อง และทุกเรื่องก็ล้วนเกี่ยวข้องกันหมด

"มันไม่เหมือนเดิม อย่างเรื่องการเมืองสมัยก่อน กับเพื่อนเราคุยกัน เราอาจจะชอบคนละพรรคแต่มันแรงเท่ากับปัจจุบัน ที่มีการแบ่งสี  พอคุยกันเรื่องการเมืองเพื่อนบางคนเลิกคบกันไปเลยก็มี  เพราะคุยกันแล้วก็ทะเลาะกัน  ส่วนเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องปากท้อง เรื่องราคาสินค้า  เราเคยซื้อสินค้าตามห้างจากเมื่อก่อนอาจจะสัก 1,000 แต่เดียวนี้ก็ขึ้นเป็น 1,500 หรือขึ้นไปถึง 2,000 บาท ราคาของมันเพิ่ม แล้วเรื่องสังคมก็มี  ซึ่งถ้าพูดไปแล้วมันก็วนกลับมาที่เรื่องการเมืองอีกนั่นแหละ  มันเกี่ยวโยงกันหมด"

แม้ปัจจุบันนั้นชีวิตในเมืองเครียดกว่าอดีตที่ผ่านมามาก  แต่ขจรศักดิ์ก็สามารถจัดการกับความเครียดได้ดี  และที่สำคัญคงเป็นเพราะเขาเคยผ่านช่วงวิกฤตของชีวิตมาแล้ว

"ตอนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2540 บริษัทต้องเอาพนักงานออก  ผมก็ตกงานอยู่พักหนึ่งซึ่งเครียดและถือเป็นวิดฤตที่หนัก  แต่พอผ่านพ้นจุดนั้นมาได้ก็สามารถรับมือกับความเครียดอื่นได้ดีขึ้น  เดี่๋ยวนี้ถ้าว่าง ๆ ผมก็จะไปเดินเล่นแถวเวิ้งฯ ดูการแสดงดนตรีบ้าง แล้วก็เล่นดนตรีไทย"

ถึงเป็นเพียงการสุ่มสำรวจจากประชากรเพียงส่นหนึ่งของประเทศ  แต่ก็น่าจะกระตุ้นเตือนชาวไทยกว่า 70 ล้านคน  โดยเฉพาะชาวกรุงเทพฯที่มีอยู่ 10 ล้านกว่าคน  ให้หันมาดูแลสุขภาพจิตเพื่อสร้างความาฉลาดทางอารมณ์ของตัวเองและคนรอบข้างให้มากยิ่งขึ้น  คงไม่มีใครอยากทำผิดเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ  และคงไม่มีใครอยากเป็นเหยื่ออารมณ์ผู้อื่น

ที่มา : www.manager.co.th/DailyNews.aspx?NewaID=9540000080166
update : 3/7/2554