วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

























ความเครียด (Stress)

ความเครียดสามารถเกิดได้ทุกแห่งทุกเวลาอาจจะเกิดจากสาเหตุภายนอกเช่น การย้ายบ้าน การเปลี่ยนงาน ความเจ็บป่วย การหย่าร้าง ภาวะว่างงานความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว หรืออาจจะเกิดจากภายในผู้ป่วยเอง เช่นความต้องการเรียนดี ความต้องการเป็นหนึ่งหรือความเจ็บป่วย

ความเครียดเป็นระบบเตือนภัยของร่างกายให้เตรียมพร้อมที่กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การมีความเครียดน้อยเกินไปและมากเกินไปไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ส่วนใหญ่เข้าใจว่าความเครียดเป็นสิ่งไม่ดีมันก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หัวใจเต้นเร็ว แน่นท้อง มือเท้าเย็น แต่ความเครียดก็มีส่วนดีเช่น ความตื่นเต้นความท้าทายและความสนุก สรุปแล้วความเครียดคือสิ่งที่มาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตซึ่งมี่ทั้งผลดีและผลเสีย

ชนิดของความเครียด
  1. Acute stress คือความเครียดที่เกิดขึ้นทันทีและร่างกายก็ตอบสนองต่อความเครียดนั้นทันทีเหมือนกันโดยมีการหลั่งฮอร์โมนความเครียด เมื่อความเครียดหายไปร่างกายก็จะกลับสู่ปกติเหมือนเดิมฮอร์โมนก็จะกลับสู่ปกติ ตัวอย่างความเครียด
  • เสียง
  • อากาศเย็นหรือร้อน
  • ชุมชนที่คนมาก ๆ
  • ความกลัว
  • ตกใจ
  • หิวข้าว
  • อันตราย
    2.   Chronic stress หรือความเครียดเรื้อรังเป็นความเครียดที่เกิดขึ้นทุกวันและร่างกายไม่สามารถตอบสนองหรือ
          แสดงออกต่อความเครียดนั้น ซึ่งเมื่อนานวันเข้าความเครียดนั้นก็จะสะสมเป็นความเครียดเรื้อรัง ตัวอย่างความเครียดเรื้อรัง
  • ความเครียดจากการทำงาน
  • ความเครียดที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
  • ความเครียดของแม่บ้าน
  • ความเหงา
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด

เมื่อมีภาวะกดดันหรือความเครียดร่างกายจะฮอร์โมนที่เรียกว่า cortisol และ adrenaline ฮอร์โมนดังกล่าวจะทำให้ความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นเร็วเพื่อเตรียมพร้อมให้ร่างกายแข็งแรง และมีพลังงานพร้อมที่จะกระทำเช่นการวิ่งหนีอันตราย การยกของหนีไฟถ้าหากได้กระทำฮอร์โมนนั้นจะถูกใช้ไป ความกดดันหรือความเครียดจะหายไป แต่ความเครียดหรือความกดดันมักจะเกิดขณะที่นั่งทำงาน ขับรถ กลุ่มใจไม่มีเงินค่าเทอมลูก ความเครียดหรือความกดดันไม่สามารถกระทำออกมาได้เกิดโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้ฮอร์โมนเหล่านั้นสะสมในร่างกายจนกระทั่งเกิดอาการทางกายและทางใจ

ผลเสียต่อสุขภาพ

ความเครียดเป็นสิ่งปกติที่สามารถพบได้ทุกวัน หากความเครียดนั้นเกิดจากความกลัวหรืออันตราย ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจะเตรียมให้ร่างกายพร้อมที่จะต่อสู้ อาการทีปรากฏก็เป็นเพียงทางกายเช่นความดันโลหิตสูงใจสั่น แต่สำหรับชีวิตประจำวันจะมีสักกี่คนที่จะทราบว่าเราได้รับความเครียดโดยที่เราไม่รู้ตัวหรือไม่มีทางหลีกเลี่ยง การที่มีความเครียดสะสมเรื้อรังทำให้เกิดอาการทางกาย และทางอารมณ์ เช่น โรคทางเดินอาหาร โรคปวดศีรษะไมเกรน โรคปวดหลัง โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ ติดสุรา โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด ภูมิคุ้มกันต่ำลง เป็นหวัดง่าย อุบัติเหตุขณะทำงาน การฆ่าตัวตายและมะเร็ง

คุณมีความเครียดหรือไม่
ถามตัวคุณเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่

อาารแสดงทางร่างกาย
มึนงง ปวดตามกล้ามเนื้อ กัดฟัน ปวดศีรษะ แน่นท้อง เบื่ออาหาร นอนหลับยาก หัวใจเต้นเร็ว หูอื้อ มือเย็น อ่อนเพลีย ท้องร่วง ท้องผูก จุกท้อง มึนงง เสียงดังให้หู คลื่นไส้อาเจียน หายใจไม่อิ่ม ปวดท้อง

อาการแสดงทางด้านจิตใจ
วิตกกังวล ตัดสินใจไม่ดี ขี้ลืม สมาธิสั้น ไม่มีความคิดริเริ่ม ความจำไม่ดี ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

อาการแสดงทางด้านอารมณ์
โกรธง่าย วิตกกังวล ร้องไห้ ซึมเศร้า ท้อแท้ หงุดหงิด ซึมเศร้า มองโลกในแง่ร้าย นอนไม่หลับ กัดเล็บหรือดึงผมตัวเอง

อาการแสดงทางพฤติกรรม
รับประทานอาหารเก่ง ติดบุหรี่สุรา โผงผาง เปลี่ยนงานบ่อย แยกตัว

หากท่านมีอาการเครียดมากและแสดงออกทางร่างกายดังนี้
  •  อ่อนแรงไม่อยากทำอะไร
  • มีอาการปวดตามตัว ปวดศีรษะ
  • วิตกกังวล
  • มีปัญหาเรื่องการนอน
  • ไม่มีความสุขกับชีวิต
  • เ็นโรคซึมเศร้า
 ให้ท่านปฏิบัติตามคำแนะนำ 10 ประการ
  1. ให้นอนเป็นเวลาและตื่นเป็นเวลา เวลาที่เหมาะสมสำหรับการนอนคือเวลา 22.00น.เมื่อภาวะเครียดมากจะทำให้ความสามารถในการกำหนดเวลาของชีวิต( Body Clock )เสียไป ทำให้เกิดปัญหานอนไม่หลับหรือตื่นง่าย การกำหนดเวลาหลับและเวลาตื่นจะทำให้นาฬิกาชีวิตเริ่มทำงาน และเมื่อความเครียดลดลง ก็สามารถที่จะหลับได้เหมือนปกติ ในการปรับตัวใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ บางครั้งเมื่อไปนอนแล้วไม่หลับเป็นเวลา 45 นาที ให้หาหนังสือเบาๆมาอ่าน เมื่อง่วงก็ไปหลับ ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือให้ร่างกายได้รับแสงแดดยามเช้า เพื่อส่งสัญญาณให้ร่างกายปรับเวลา
  2. หากเกิดอาการดังกล่าวต้องจัดเวลาให้ร่างกายได้พัก เช่นอาจจะไปพักร้อน หรืออาจจะจัดวาระงาน งานที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วนก็ให้หยุดไม่ต้องทำ
  3. ให้เวลากับครอบครัวในวันหยุด อาจจะไปพักผ่อนหรือรับประทานอาหารนอนบ้าน
  4. ให้เลื่อนการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆในช่วงนี้ เช่นการซื้อรถใหม่ การเปลี่ยนบ้านใหม่ การเปลี่ยนงาน เพราะการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดความเครียด
  5. หากคุณเป็นคนที่ชอบทำงานหรือชอบเรียนให้ลดเวลาลงเหลือไม่เกิน 40 ชม.สัปดาห์
  6. การรับประทานอาหารให้รับประทานผักให้มากเพราะจะทำให้สมองสร้าง serotonin เพิ่มสารตัวนี้จะช่วยลดความเครียด และควรจะได้รับวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณที่เพียงพอ
  7. หยุดยาคลายเครียด และยาแก้โรคซึมเศร้า
  8. ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และอาจจะมีการเต้นรำด้วยก็ดี 
หากปฏิบัติตามวิธีดังกล่าวแล้วยังมีอาการของความเครียดให้ปรึกษาแพทย์

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเครียด
  1. ความเครียดเหมือนกันทุกคนหรือไม่ สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความเครียดในแต่ละคนไม่เหมือนกันและการตอบสนองต่อความเครียดก็แตกต่างในแต่ละคน
  2. ความเครียดเป็นสิ่งไม่ดีจริงหรือไม่ ความเครียดเปรียบเหมือนสายกีตาร์ ตึงไปก็ไม่ดี หย่อนไปเสียก็ไม่ไพเราะ เช่นกันเครียดมากก็มีผลต่อสุขภาพเครียดพอดีจะช่วยสร้างผลผลิต และความสุข
  3. จริงหรือไม่ที่ความเครียดมีอยู่ทุกแห่งคุณไม่สามารถจัดการกับมันได้ แม้ว่าจะมีความเครียดทุกแห่งแต่คุณสามารถวางแผนที่จะจัดการกับงาน ลำดับความสำคัญ ความเร่งด่วนของงานเพื่อลดความเครียด
  4. จริงหรือไม่ที่ไม่มีอาการคือไม่มีความเครียด ไม่จริงเนื่องจากอาจจะมีความเครียดโดยที่ไม่มีอาการก็ได ้และความเครียดจะสะสมจนเกินอาการ
  5. ควรให้ความสนใจกับความเครียดที่มีอาการมากๆใช่หรือไม่ เมื่อเริ่มเกิดอาการความเครียดแม้ไม่มากก็ต้องให้ความสนใจ เช่นอาการปวดศีรษะ ปวดท้องเพราะอาการเพียงเล็กน้อยจะเตือนว่าคุณต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินชีวิตเพื่อลดความเครียด
  6. ความเครียดคือโรคจิตใช่หรือไม่ ไม่ใช่เนื่องจากโรคจิตจะมีการแตกแยกของความคิด บุคลิคเปลี่ยนไปไม่สามารถดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติ
  7. ขณะที่มีความเครียดคุณสามารถทำงานได้อีก แต่คุณต้องจัดลำดับก่อนหลัง และความสำคัญของงาน
  8. ไม่เชื่อว่าการเดินจะช่วยผ่อนคลายความเครียด การเดินจะช่วยผ่อนคลายความเครียดนั้น
  9. ความเครียดไม่ใช่ปัญหาเพราะเพียงแค่สูบบุหรี่ความเครียดก็หายไป การสูบบุหรี่หรือดื่มสุราจะทำให้ลืมปัญหาเท่านั้นนอกจากไม่สามารถแก้ปัญหาแล้วยังก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย
 เมื่อใดต้องปรึกษาแพทย์
  • เมื่อคุณรู้สึกเหมือนคนหลงทางหาทางแก้ไขไม่เจอ
  • เมื่อคุณกังวลมากเกินกว่าเหตุ และไม่สามารถควบคุม
  • เมื่ออาการของความเครียดมีผลต่อคุณภาพชีวิตเช่น การนอน การรับประทานอาหาร งานที่ทำ ความสัมพันธ์ของคุณกับคนรอบข้าง
ที่มา : http://www.siamhealth.net/
ภาพ : http://abhi-sapient.blogspot.com/2010/11/stress.html
Update : 24 พ.ค.2554
“โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ” โรคร้ายคร่าชีวิต “น้องกาว” !!  /รายงานโดยอมรรัตน์ ล้อถิรธร

                                                     

การเสียชีวิตอย่างกะทันหันในต่างประเทศของ น.ส.สโรชา เนียมบุญนำ หรือ “น้องกาว” อายุ 20 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี(เกียรตินิยมอันดับ 2) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไม่เพียงนำมาซึ่งความเศร้าโศกแก่พ่อแม่ ที่ลูกสาวต้องจบชีวิตลงทั้งที่กำลังจะจบการศึกษาเตรียมรับปริญญาในเดือน ส.ค.นี้เท่านั้น  แต่ยังเป็นการสูญเสียบุคลากรอนาคตไกลที่จะเป็นกำลังสำคัญของประเทศไปอย่างน่าเสียดาย  วายร้ายที่คร่าชีวิต “น้องกาว” ลงอย่างรวดเร็วได้ภายใน 1 สัปดาห์ คือโรคร้ายที่ชื่อว่า  “โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ” ชนิดรุนแรงหรือเฉียบพลัน  คำถามตามมาทันทีว่า โรคที่ไม่ค่อยคุ้นหูนี้เกิดจากอะไร? และเราจะเป็นเหยื่อรายต่อไปหรือไม่

ปกติแล้วในสมองของคนเรา จะมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่รอบๆ เพื่อเป็นตัวป้องกันไม่ให้สมองได้รับอันตราย ทั้งยังมีหน้าที่ช่วยให้หลอดเลือดนำอาหารและน้ำไปเลี้ยงสมองด้วย นอกจากสมองจะมีน้ำล้อมรอบแล้ว ก็ยังมีเยื่อที่อยู่รอบๆ สมองอีกชั้นหนึ่ง เรียกว่า “เยื่อหุ้มสมอง” นั่นเอง

แล้วอะไรเป็นสาเหตุให้เยื่อหุ้มสมองเกิดการอักเสบได้บ้าง  ร.ศ.พ.ญ นิจศรี  ชาญณรงค์  แห่งสาขาวิชาประสาทวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์  บอกว่า  เยื่อหุ้มสมองอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะจากการติดเชื้อต่างๆ หรือไม่ผู้ป่วยก็อาจจะมีโรคประจำตัวบางอย่างอยู่ ทำให้ภูมิต้านทานน้อย

มันก็แล้วแต่ว่าคนไข้มีโรคประจำตัวอะไรอยู่หรือเปล่า ในคนปกติก็อาจจะเป็นไวรัสก็ได้ เป็นแบคทีเรียก็ได้ หรือบางคนถ้าภูมิต้านทานไม่ค่อยดีอาจจะติดเชื้อราง่าย อาจจะเป็นเชื้อราที่เยื่อหุ้มสมอง หรือบางคนไปรับประทานอาหารที่มีพยาธิอาจจะมีพยาธิขึ้นไปสมองก็ได้เหมือนกัน พยาธิจะเจอไม่ค่อยบ่อย ที่เจอบ่อยๆ ก็เป็นเชื้อไวรัส ซึ่งส่วนใหญ่อาการไม่ค่อยรุนแรง ก็ปวดหัวมีไข้ คอตึงๆ หน่อย และก็จะค่อยๆ หายไปได้เอง อันที่จะเป็นอันตรายก็คือ อันที่เกิดจากแบคทีเรีย ซึ่งมันเป็นได้ จะอันตรายรุนแรงมาก เป็น 1-2 วันก็อาจจะแย่ อาจจะถึงขนาดหมดสติหรือเสียชีวิตไปเลยก็ได้ หรือเป็นแบคทีเรียที่ไม่รุนแรงมาก เช่น เป็นเชื้อวัณโรค ก็อาจจะทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้”

สำหรับเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียนั้น คุณหมอนิจศรี บอกว่า ปกติแล้วเชื้อทั้ง 2 ตัวนี้จะติดมาจากสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ขณะที่แบคทีเรียบางชนิดก็อยู่ในร่างกายเราอยู่แล้ว เช่น อยู่ที่ระบบทางเดินหายใจ และไม่ได้ทำให้เกิดโรค แต่พอวันดีคืนดี มันก็เกิดแพร่เชื้อทำให้เรามีอาการของโรคขึ้นมา โดยเฉพาะในคนที่มีภูมิต้านทานต่ำจากโรคบางอย่าง เช่น โรคเอดส์ เป็นต้น

ส่วนที่มีการพูดกันว่า นกพิราบมีเชื้อที่ทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้นั้น จริงหรือไม่ คุณหมอนิจศรี ยืนยันว่า เป็นเรื่องจริง

“นกพิราบมันจะมีเชื้อราตัวหนึ่ง ซึ่งถ้าเราไปสัมผัสกับสิ่งที่ออกมาจากนกพิราบ ก็มีโอกาสที่จะไปสัมผัสกับเชื้อราตัวนี้ ถ้าสัมผัสไปแล้วเชื้อมากพอหรือเชื้อเข้าไปในเวลาที่เหมาะสม ก็อาจจะเกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งเป็นจากเชื้อรา แต่อย่างไรก็ตามถ้าไม่ได้อยู่กับนกพิราบ เชื้อราตัวนี้มันก็มีอยู่ในธรรมชาติที่อื่นอยู่แล้วเหมือนกัน”

ได้ทราบสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบกันไปแล้ว มาดูอาการของโรคนี้กันบ้าง คุณหมอนิจศรี บอกว่า อาการของโรคจะรุนแรงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นโรคนี้จากสาเหตุไหน

“แบคทีเรียอาจจะอันตรายที่สุดในกลุ่มของเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เพราะเชื้อมันรุนแรงกว่า คนไข้มักจะมีอาการอยู่ดีๆ มีไข้สูง บางทีก็มีหนาวสั่นร่วมด้วย แล้วก็ปวดศรีษะอย่างรุนแรงมาก บางคนก็จะมีลักษณะ เช่นว่า ตาสู้แสงไม่ได้ เวลาเห็นแสงจ้าๆ แล้วจะแสบตา อาจจะถึงขนาดว่าซึมลง หมดสติ อาจจะมีชักเกร็งและก็อาจจะเสียชีวิตได้ในเวลาอันรวดเร็ว ถ้าเป็นเชื้ออื่นๆ ก็แล้วแต่ว่า บางอย่างก็เป็นเร็ว บางอย่างก็เป็นนาน อีกอันหนึ่งที่เจอได้ก็คือ เป็นเชื้อวัณโรคซึ่งวัณโรคเหมือนที่เป็นในปอด ก็ทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้เหมือนกัน อาการก็คล้ายๆ กัน มีไข้สูง ปวดศีรษะก็จะอยู่ประมาณสักอาทิตย์ 2 อาทิตย์ก็เริ่มแย่ อาจจะมีปัญหาเรื่องแขนขาอ่อนแรงตามมา มีอาการตามองเห็นไม่ชัด ก็เป็นอาการที่โรคมันเป็นมากขึ้น พวกนี้ก็ต้องได้รับการวินิจฉัยให้เร็ว เพื่อจะให้ยาเพื่อที่จะไปรักษาเชื้อโรคอันนี้ให้มันหายไป คนไข้ก็มักจะอาการดีขึ้น แต่บางรายก็อาจจะมีภาวะแทรกซ้อนเหมือนกัน"

สำหรับภาวะแทรกซ้อนนั้น คุณหมอนิจศรี บอกว่า มักจะพบบ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดรุนแรง โดยอาจจะมีภาวะสมองอักเสบร่วมด้วย ซึ่งเกิดจากการอักเสบลุกลามจากเยื่อหุ้มสมองเข้าไปภายในเนื้อสมองนั่นเอง ซึ่งหากเชื้อลุกลามไปที่หลอดเลือดสมอง ก็จะส่งผลให้เลือดไหลไม่สะดวกหรือมีการอักเสบหรือถึงขั้นหลอดเลือดแตกได้ ส่วนคนที่เป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อโรคไข้กาฬหลังแอ่น เชื้อก็อาจจะแพร่กระจายไปในกระแสเลือดได้ด้วย ซึ่งจะส่งผลให้มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง มีเส้นเลือดอักเสบตามแขนและขา บางคนเป็นมากหรือหลอดเลือดอักเสบมาก อาจทำให้เลือดไปเลี้ยงนิ้วและแขนขาไม่ได้ สุดท้ายส่งผลให้นิ้วหลุด นิ้วกุดไปก็มี แต่ก็พบไม่บ่อย นอกจากนี้ยังมีโรคแทรกซ้อนอีกแบบ คือ มีน้ำในสมองมาก ทำให้ตาบอด หรือหูหนวกได้ ซึ่งเกิดจากการอักเสบของสมองนั่นเอง

ปกติแล้ว ถ้าผู้ป่วยมาให้หมอรักษาตั้งแต่ระยะแรก และหมอให้ยาถูกกับชนิดของโรค ก็สามารถหายขาดจากโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ แต่ถ้ามาหาหมอช้าหรือเชื้อดื้อยา การรักษาก็จะยากขึ้น เมื่อโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบค่อนข้างเป็นโรคที่อันตรายหากเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย แล้วเราจะมีวิธีป้องกันตัวเองอย่างไรให้ห่างไกลจากโรคนี้ คุณหมอนิจศรี แนะว่า วิธีป้องกันก็เป็นวิธีทั่วๆ ไป คือดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารให้ถูกต้อง คืออาหารที่ปรุงสุกแล้วเท่านั้น หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจมีพยาธิ ออกกำลังกายตามสมควร อย่างไรก็ตามคุณหมอนิจศรี บอกว่า การหลีกเลี่ยงเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบอาจทำได้ยาก เพราะเป็นเชื้อที่อยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา ดังนั้นถ้าเมื่อไหร่มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง โดยปวดทั้งศีรษะ และมีอาการคอตึงๆ ก้มศีรษะไม่ค่อยถนัด ตาสู้แสงไม่ได้ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า อาจจะเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน!

ที่มา : www.manager,co,th
Update : 20 พ.ค.54

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เตือน! เกษตรกรระวังฉี่หนู หลังเข้าฤดูฝน

















                                                      

เตือน! เกษตรกรระวังฉี่หนู หลังเข้าฤดูฝน

สธ.ย้ำเตือนเกษตรกรระวังฉี่หนู หลังลงไร่-นา หากมีไข้สูง ปวดน่อง ปวดหัวรุนแรง หนาวสั่น รีบพบแพทย์ทันที เพราะอันตรายถึงชีวิต หลังพบปีนี้ป่วยกว่า 548 ราย ตาย 12 ราย ด้านปลัด สธ.เร่ง อสม.ลงพื้นที่ให้ความรู้ประชาชน.

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เร่งประชาสัมพันธ์ย้ำเตือนเกษตรกรระวังโรคฉี่หนู หลังเดินลุยน้ำขัง ย่ำโคลนในนาไร่ หากมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะอย่างรุนแรง และมีอาการปวดน่อง ขอให้สงสัยอาจติดเชื้อไข้ฉี่หนู ให้รีบพบแพทย์เพื่อป้องกันการเสียชีวิต ซึ่งโรคนี้มียารักษาหาย โดยปีนี้ทั่วประเทศพบป่วยแล้ว 548 ราย เสียชีวิต 12 ราย

นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝน เกษตรกรเริ่มทำไร่ ทำนา มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคฉี่หนู หรือโรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) สูงกว่าฤดูกาลอื่น ในการเตรียมรับมือของกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านทั่วประเทศ ดำเนินการให้ความรู้ประชาชนในการป้องกันโรคดังกล่าวอย่างเต็มที่ เนื่องจากขณะนี้สามารถพบผู้ป่วยโรคฉี่หนูได้ทุกภาค และสั่งการให้โรงพยาบาลทุกแห่งดำเนินการตรวจคัดกรองและซักประวัติผู้ป่วยอย่างละเอียด โดยเฉพาะประวัติการเดินลุยน้ำย่ำโคลน เพื่อป้องกันการเสียชีวิต เนื่องจากโรคนี้มียารักษาหาย

นพ.สุพรรณกล่าวอีกว่า โรคฉี่หนูเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเชื้อดังกล่าวจะอยู่ในฉี่ของหนูเป็นส่วนใหญ่ ตัวเชื้อโรคจะมีลักษณะเป็นเกลียว แพร่ระบาดในแหล่งน้ำได้รวดเร็ว โดยเชื้อจะมีชีวิตอยู่ในน้ำได้นานไม่น้อยกว่า 3 สัปดาห์ สามารถเข้าสู่ร่างกายคน โดยไชผ่านทางผิวหนังที่แช่น้ำเป็นเวลานาน หรือไชผ่านเยื่อบุตา ทางบาดแผล แม้กระทั่งรอยขีดข่วน เมื่อเข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว

“อาการของโรคฉี่หนูที่พบได้บ่อย คือ มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ตาแดง คลื่นไส้อาเจียน ขอให้สงสัยว่าอาจป่วยเป็นโรคฉี่หนู อาการที่เป็นลักษณะค่อนข้างเฉพาะของโรคนี้คืออาการปวดที่กล้ามเนื้อบริเวณน่อง พบได้ประมาณร้อยละ 40-100 ของผู้ป่วย หากประชาชนมีอาการดังกล่าว ขอให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรงที่ทำให้เสียชีวิตได้ เช่น ตับวาย ไตวาย ทั้งนี้โรคนี้หลังรักษาหายแล้วอาจสามารถติดเชื้อและป่วยซ้ำอีกได้ ในปี 2554 นี้ ทั่วประเทศพบผู้ป่วยโรคฉี่หนู 548 ราย กระจายทุกภาค เสียชีวิต 12 ราย ส่วนใหญ่พบในวัยแรงงานอายุ 25-54 ปี” นพ.สุพรรณกล่าว

ที่มา : http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000060162

Update : 18 พ.ค. 2554

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

























5 วิธีป้องกันสมองเสื่อมก่อนวัยอันควร โดย ดร.แพง ชินพงศ์

สมองเป็นอวัยวะหนึ่งในร่างกายของคนเราที่มีความสำคัญมาก เปรียบเหมือนกองบัญชาการควบคุมระบบต่าง ๆ ในร่างกายมากมายหลายระบบ ทั้งระบบความคิด ความจำ อารมณ์ พฤติกรรม และรักษาความสมดุลของระบบภายในร่างกาย เช่น ความดันโลหิต การเต้นของหัวใจ ตลอดจนการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย สมองของคนเรามีการพัฒนาตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา งานวิจัยทางการแพทย์ระบุว่า เซลล์ของระบบประสาทสมองจะเพิ่มขึ้นถึง 200,000-300,000 เซลล์ในทุก ๆ นาที จนถึงเวลาที่เด็กคลอดออกมาจากครรภ์มารดาเด็กก็จะมีเซลล์สมองเกือบจะสมบูรณ์เหมือนกับวัยผู้ใหญ่เลยทีเดียว ซึ่งได้ประมาณไว้ว่าเมื่อเด็กอายุได้ 2 - 3 ขวบ สมองของเขาจะมีขนาดประมาณ 80% ของผู้ใหญ่แ ต่เป็นธรรมดาที่เมื่อสมองมีการเจริญเติบโตแล้วก็ต้องมีเวลาที่สมองนั้นจะเข้าสู่ภาวะที่เสื่อมถอย ซึ่งจากงานวิจัยของ ศาสตราจารย์ทิโมธี ซอล์ตเฮาส์ จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่าสมองมนุษย์จะเริ่มเสื่อมเมื่ออายุ 27 ปี หลังจากพัฒนาถึงจุดสูงสุดเมื่ออายุ 22 ปี ดังนั้น คนเราจึงเกิดความวิตก และพยายามหาวิธีการต่าง ๆ นานามาช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง วันนี้ผู้เขียนจึงขอหยิบยกวิธีป้องกันสมองไม่ให้เสื่อมก่อนวัยอันควรมานำเสนอ ดังนี้
  1. อาหารบำรุงสมอง  ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการแพทย์ทางเลือกหลายคนให้แนะนำเกี่ยวกับเรื่องอาหารบำรุงสมองไว้หลายอย่าง เช่น ผัก ผลไม้ น้ำมันปลา เนื้อปลา และควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 3 - 5 ลิตร เพราะการดื่มน้ำน้อยจะทำให้ร่างกายขาดน้ำซึ่งจะส่งผลต่อสมองโดยทำให้สมองทำงานเฉื่อยช้าลง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงเหล้า บุหรี่และสารเสพติดต่าง ๆ เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นตัวการสำคัญในการทำลายสมองให้เสื่อมเร็วมากขึ้น
  2. การออกกำลังช่วยให้สมองแข็งแรง   การออกกำลังกายนอกจากจะทำให้กล้ามเนื้อของร่างกายแข็งแรงแล้วยังเปรียบเหมือนยาขนานเอกในการบำรุงสมองอีกด้วย การส่งเสริมให้เด็กออกกำลังกาย เช่น เดิน วิ่ง กระโดด ว่ายน้ำ จะมีผลดีต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก    ดร.ชาร์ล ฮิลแมน และคณะแห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ได้ทำการทดลองโดยให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาจำนวน 259 คน ออกกำลังกายแล้วตรวจสอบว่าความแข็งแรงของร่างกายมีความสัมพันธ์กับผลการสอบวิชาคณิตศาสตร์และวิชาอ่านอังกฤษหรือไม่ ปรากฏว่า เด็กนักเรียนที่มีร่างกายแข็งแรงมีคะแนนดี ดังนั้น ความแข็งแรงของร่างกายจึงสัมพันธ์กับสมองที่ฉลาดขึ้น    นอกจากนี้มีการทดลองกับผู้สูงอายุวัย 60-70 ปีโดยการสแกนสมองพบว่าการออกกำลังกาย เช่นเดินเร็วหรือแอโรบิคสามารถเสริมสร้างสมองส่วนหน้า (frontal lobe) ให้มีปริมาตรมากขึ้น จึงทำให้การทำงานของสมองดีขึ้น จึงส่งผลดีในเรื่องเกี่ยวกับการตัดสินใจ การบริหารจัดการ การวางแผน การทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน รวมถึงสามารถตอบคำถามถูกต้องมากขึ้นและเร็วขึ้นด้วย
  3. พักผ่อนให้สมองผ่อนคลาย  เวลาที่เราเกิดความเครียดจะทำให้เกิดฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในร่างกายคนเราคือฮอร์โมนเครียดชื่อคอร์ติซอล ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อร่างกายโดยเฉพาะสมอง มีผลทำให้ระบบความคิดของสมองตีบตัน และความจำเสื่อมได้ ดังนั้นถ้าเราต้องพบกับเรื่องที่ทำให้เกิดความเครียดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียน เรื่องการงาน ปัญหาครอบครัวหรือปัญหาใดก็ตามแต่ สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดคือ เราต้องหาเวลาส่วนตัวในการพักผ่อนเพื่อให้สมองได้รับการผ่อนคลาย เช่น การนอนอยู่กับบ้าน การไปท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ การได้อยู่กับธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นทะเล ป่าเขาลำเนาไพร หรือการไปดูหนังฟังเพลง จะทำให้สมองมีความสุขได้รับการผ่อนคลาย เมื่อสมองผ่อนคลาย ร่างกายก็จะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้มีอารมณ์เบิกบาน มีความสุขและส่งผลให้สมองแจ่มใส พร้อมเปิดรับการเรียนรู้ใหม่ ๆ ได้เป็นอย่างดี
  4. ให้สมองเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ  การทำสิ่งที่จำเจซ้ำซากอยู่ทุกวันทุกคืน มีผลทำให้สมองฝ่อเร็ว แต่การเปิดโอกาสให้สมองได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จะเป็นการช่วยฝึกให้สมองได้ออกกำลัง เช่น การเปลี่ยนเส้นทางการขับรถใหม่ การอ่านหนังสือเล่มใหม่ การไปยังสถานที่แปลกใหม่ การทำกิจกรรมที่ไม่เคยทำมาก่อน เช่น ไปเรียนดนตรี ไปเรียนจัดดอกไม้ ไปเรียนทำขนม เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ สมองจะหลั่งสารโดปามีน และสารเอ็นโดฟิน ซึ่งทำให้สมองเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข ทำให้สมองแข็งแรงและเสื่อมช้าลง
  5. เซ็กซ์สร้างความสดชื่นให้สมอง  เราคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเซ็กซ์เป็นกิจกรรมที่สร้างความตื่นเต้นและความสุขให้แก่คู่รัก มีงานวิจัยที่ยืนยันว่าเซ็กซ์ในผู้สูงอายุช่วยกระตุ้นให้สมองเสื่อมช้าลง ดังนั้น การมีเซ็กซ์ที่ดีกับคู่รักหรือคู่สมรสนับเป็นกิจกรรมที่เป็นการออกกำลังสมองได้ดีมาก เพราะเป็นกิจกรรมที่สร้างสุข ท้าทาย ตื่นเต้น ใช้จินตนาการและมีการเคลื่อนไหวของทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งทำให้วงจรของสมองทุกระบบมีการกระตุ้นให้เกิดการรับรู้และเรียนรู้ได้ดี นอกจากนี้การที่คู่รักปรับเปลี่ยนกิจกรรมทางเพศให้มีความแปลกใหม่น่าตื่นเต้นอยู่เสมอ เช่น สร้างบรรยากาศด้วยการเปิดเพลง การนวดสัมผัสกันด้วยน้ำหอม การเปลี่ยนสถานที่มีเซ็กซ์ ก็จะสร้างความสุขได้มากขึ้นด้วย
ทุกข้อทุกประการที่กล่าวมาข้างต้น เป็นวิธีง่าย ๆ ที่เชื่อว่าสามารถช่วยป้องกันไม่ให้สมองของเราเสื่อมก่อนวัยอันควร ดูแลสมองของเราวันละนิดรับรองว่าจะช่วยยืดเวลาแห่งความสุขของเราไปได้อีกยาวนาน

ที่มา : http://www.manager.co.th/
update : 11 พ.ค. 2554