วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การวางแผนดูสุขภาพของตนเองและบุคคลในครอบครัว

การวางแผนดูแลสุขภาพตนเองและบุคคลในครอบครัว เป็นเรื่องที่มีคุณค่าอย่างยิ่งเพราะนอกจากจะเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นให้ตัวของเราเองและบุคคลในครอบครัวเกิดความกระตือรือร้นในการดูแลสุขภาพแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดสัมพันธภาพอันดีระหว่างสมาชิกทุกคนในครอบครัว เกิดความรักในครอบครัวซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างดี อันจะนำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต

1. คุณค่าของการวางแผนดูแลสุขภาพของตนเองและบุคคลในครอบครัว

คำว่า “สุขภาพดี” ในแต่ละคนนั้นอาจแตกต่างกันออกไปตามแต่สภาวะสังคม หรือรูปแบบของวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วสุขภาพดีอย่างน้อยจะต้องหมายถึง ความสมบูรณ์ของทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะเกิดได้เนื่องจากการดูแลเอาใจใส่ระบบต่าง ๆ ที่สำคัญของร่างกาย การที่จะมีสุขภาพดีได้นั้น ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพของตนเองหรือของบุคคลในครอบครัว ไม่ใช่เป็นสิ่งเกิดขึ้นได้ด้วยความบังเอิญ หากแต่จำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนในการดูแลสุขภาพล่วงหน้าซึ่งจะช่วยให้เกิดผลดี ดังนี้  
  1. สามารถที่จะกำหนดวิธีการ หรือเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตของตัวเราเองหรือบุคคลในครอบครัวได้อย่างเหมาะสม
  2. สามารถที่จะกำหนดช่วงเวลาในการดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม อาจจะมีกิจกรรมการออกกำลังกายในช่วงเช้า หรือในบางครอบครัวอาจจะมีเวลาว่างในช่วงเย็น ก็อาจจะกำหนดกิจกรรมการส่งเสริมสุขภาพในช่วงเย็นก็ได้ หรืออาจจะกำหนดช่วงเวลาในการตรวจสุขภาพประจำปีของบุคคลในครอบครัวได้อย่างเหมาะสม
  3. เป็นการเฝ้าระวังสุขภาพทั้งของตนเองและบุคคลในครอบครัว ไม่ให้ป่วยด้วยโรคต่าง ๆ นับว่าเป็นการสร้างสุขภาพ ซึ่งจะดีกว่าการที่จะต้องมาซ่อมสุขภาพ หรือการรักษาพยาบาลในภายหลัง
  4. ช่วยในการวางแผนเรื่องของเศรษฐกิจและการเงินในครอบครัว เนื่องจากไม่ต้องใช้จ่ายเงินไปในการรักษาพยาบาล
  5. ส่งเสริมสุขภาพทั้งของตนเองและบุคคลในครอบครัว
  6. ทำให้คุณภาพชีวิตทั้งของตนเองและสมาชิกในครอบครัวดีขึ้น
2. การวางแผนดูแลสุขภาพของตนเอง  
  1. การสำรวจรูปแบบการดำเนินชีวิตของตนเองว่าเป็นอย่างไร นักเรียนอาจทำได้โดยการลองจดบันทึกประจำวันว่าแต่ละวันใน 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือนนั้น นักเรียนทำอะไรบ้าง แล้วนำกลับมาพิจารณาว่านักเรียนมีพฤติกรรมใดที่ส่งเสริมหรือขัดขวางต่อการมีสุขภาพที่ดีหรือไม่
  2. จากข้อมูลที่ได้ นักเรียนลองนำมากำหนดเป็นแผนในการที่จะดูแลสุขภาพของตนเองโยอาจจะเริ่มต้นด้วยการกำหนดเป็นแผนรายวัน หรือรายสัปดาห์ก่อน ว่านักเรียนจะต้องประกอบกิจกรรมอะไรบ้างที่จะช่วยในการส่งเสริมสุขภาพของตนเอง
  3. เมื่อกำหนดแผนในการดูแลสุขภาพตนเองได้แล้ว ก็ดำเนินการตามแผนที่วางไว้ และประเมินผลเป็นระยะ ๆ ว่าตนเองสามารถดำเนินการในการดูแลสุขภาพของตนเองตามแผนที่วางไว้ได้หรือไม่
  4. หากพบว่าไม่สามารถปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ได้ ก็นำข้อมูลมาวิเคราะห์ใหม่ ว่าเกิดจากปัจจัยใด และลองปรับเปลี่ยนแผนให้เหมาะสมกับตนเองให้มากที่สุด  
คุณค่าของการวางแผนดูแลสุขภาพของตนเอง

สุขภาพเป็นรากฐานที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ นับตั้งแต่การปฏิสนธิจนถึงสิ้นอายุขัย สุขภาพจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคล สังคมและสิ่งแวดล้อม หากขาดความสมดุลก็จะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพได้


ในปัจจุบันประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยเปลี่ยนไป และมีพฤติกรรมสุขภาพไม่เหมาะสม ขาดความสนใจละเลยต่อการดูแลสุขภาพ เช่น บริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกาย ใช้สารเสพติด ขาดการพักผ่อนและมีความเครียด เป็นต้น สาเหตุเหล่านี้เป็นสิ่งบั่นทอนสุขภาพและอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ถ้าหากเรามีการบำรุงรักษา ดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรงตลอด จะเป็นเสมือนเกราะป้องกัน โรคภัยต่าง ๆ ไม่ให้ทำอันตรายต่อร่างกายได้ และยิ่งมีการปฏิบัติอย่างถูกต้องจนเป็นสุขนิสัย ความแข็งแกร่งทนทานในการป้องกันโรคก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น เป็นผลทำให้ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างสดชื่น แจ่มใส ไม่เจ็บป่วยและมีชีวิตยืนยง

 3. การวางแผนดูแลสุขภาพของบุคคลในครอบครัว  
  1. การสำรวจรูปแบบการดำเนินชีวิตของสมาชิกในครอบครัวว่าเป็นอย่างไร เนื่องจากการดูแลสุขภาพของบุคคลในครอบครัวนั้น ไม่ใช่เป็นการดำเนินงานโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพียงคนเดียวแล้วจะประสบความสำเร็จ หากแต่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของสมาชิกในครอบครัวเป็นสำคัญ
  2. จากข้อมูลที่ได้ นำมากำหนดเป็นแผนการในการที่จะดูแลสุขภาพของสมาชิกในครอบครัวโดยการกำหนดเป็นแผนในการดูแลสุขภาพซึ่งอาจจะทำแยกเป็นรายบุคคล หรืออาจจะทำเป็นภาพรวมของทุกคนในครอบครัว
  3. เมื่อกำหนดแผนในการดูแลสุขภาพของสมาชิกในครอบครัวได้แล้ว ก็ดำเนินตามแผนที่วางไว้ และประเมินผลเป็นระยะ ๆ ว่าบุคคลในครอบครัวสามารถปฏิบัติตามแผนในการดูแลสุขภาพที่วางไว้ได้หรือไม่ อย่างไร
  4. หากพบว่างไม่สามารถปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ได้ ก็นำข้อมูลมาวิเคราะห์ใหม่ ว่าเกิดจากปัจจัยใด และลองปรับเปลี่ยนแผนให้เหมาะสมกับสมาชิกในครอบครัวของเราให้มากที่สุด
ที่มา :  http:// www.mwit.ac.th/~t2090107/link/sheet/HPE301031/sheet_5doc.
            http://www.sainampeung.ac.th/wbi/ict-teacher

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เปิดค่านิยมเด็กยุคใหม่ "เชื่อพรหมลิขิต-ติดยา-บ้าแบรนด์เนม-ติดเกม-กลัวผี”

อนุกมธ.วุฒิ ชี้วิกฤกฤตการเมือง ส่งผลเด็กเลียนแบบในทางที่ผิด เปิด 5 ค่านิยมเด็กไทยยุคใหม่ เชื่อ“พรหมลิขิต ติดยา บ้าแบรนด์เนม ติดเกม กลัวผี” สะท้อนปัญหาระบบบการศึกษาไทยล้มเหลว ด้านเครือข่ายครอบครัวชี้โรงเรียนต้องเปิดพื้นที่ ให้พ่อแม่มีส่วนร่วมเฝ้าระวังเด็กกลุ่มเสี่ยง

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ที่รัฐสภา คณะอนุกรรมาธิการสิทธิเสรีภาพและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ วุฒิสภา ได้มีการจัดเสวนาเรื่อง “เด็ก: ควรเรียนรู้อะไรจากวิกฤตทางการเมือง”

โดยนายอนุศักดิ์ คงมาลัย ประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ กล่าวว่า พฤติกรรมความรุนแรงกรณีนักเรียนชั้นม. 5 โรงเรียนวิทยานุสรณ์ ก่อเหตุเผาหอสมุดโรงเรียน ซึ่งเกิดจากความเครียดจากการกดดันทางการเรียน และการเลียนแบบพฤติกรรมความรุนแรงทางการเมืองที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่า เด็กไทยกำลังเผชิญปัญหาความสามารถด้านการบริหารอารมณ์ จนกลายเป็นจุดอ่อนต่อความอดกลั้นเมื่อเผชิญปัญหาและการหาทางออกด้วยตนเอง

"นอกจากนี้ยังพบว่า ค่านิยมของเด็กไทยในยุคปัจจุบันที่เกิดจากการเลียนแบบทาสังคมที่สำคัญ 5 ด้าน พรหมลิขิต ติดยา บ้าแบรนด์เนม ติดเกม กลัวผี ซึ่งค่านิยมเหล่านี้มาจากเพื่อน สังคมรอบข้าง การโฆษณาชวนเชื่อ สื่อมวลชน ผู้นำทางความคิด"นายอนุศักดิ์ กล่าว

นายอนุศักดิ์ กล่าวว่า ขณะที่ระบบการศึกษาไทยที่ผ่านมาไม่สามารถทำได้ตามความคาดหวังที่ตั้งกันเอาไว้ ปรับตัวไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงทางสัคม และมีเพียงมาตรฐานเดียวในการวัดความเก่งของเด็ก ดังนั้นสิ่งที่เด็กควรเรียนรู้จากบทเรียนที่เกิดขึ้นในสังคมคือ การเรียนรู้ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคมด้วยตนเองอย่างรู้เท่าทัน เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อ และเรียกร้องให้ผู้ใหญ่ทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ข้าราชการ และทุกภาคส่วนตระหนักในการสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในการเฝ้าระวังเด็ก ในภาวะที่สังคมสับสน โดยจำเป็นต้องใช้กลไกที่ใกล้ตัวที่สุดในการเฝ้าระวังกับปัญหา ได้แก่ เครือข่ายเพื่อนร่วมชั้นเรียน เครือข่ายผู้ปกครอง ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษา

นายธนากร คมกริช หัวหน้าโครงการเครือข่ายผู้ปกครองในสถานศึกษา มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว กล่าวว่า เด็กควรเรียนรู้ความเป็นจริง เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของสังคม โดยทุกระบบในสังคมต้องทำหน้าที่ฝึกสอนให้เด็กได้เรียนรู้ กลับพบว่า หน้าที่ในการอบรมเด็กกลับถูกผลักภาระไว้ที่โรงเรียนเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ระบบโรงเรียนกลับมุ่งเน้นในเชิงวิชาการ แม้จะมีระบบคัดกรองเด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเพื่อนำเข้าสู่การแก้ไขปัญหา แต่กลไกเหล่านี้ยังไม่ถูกทำหน้าที่ จึงเห็นด้วยที่ผู้ปกครองต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลลูก ไม่ควรฝากภาระและอนาคตให้กับโรงเรียน โดยต้องมีระบบกลไกทางสังคมที่ช่วยให้ระบบครอบครัวมีความเข้มแข็ง มีทักษะและความรู้ความเข้าใจในการแนะนำลูกของตนเอง ซึ่งการสร้างระบบเครือข่ายผู้ปกครองสามารถทำได้ โดยโรงเรียนต้องเปิดพื้นที่ให้กลุ่มพ่อแม่ได้เกิดกระบวนการเรียนรู้ของความเป็นผู้ปกครอง เช่น มีห้องให้ผู้ปกครองได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และการให้คำปรึกษาการเลี้ยงดูลูก เพื่อให้เครือข่ายครอบครัวมีส่วนในการเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาเด็กในโรงเรียนมากขึ้น

ที่มา : http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000091128

หนุ่มสาวจิตป่วย กดดัน – เครียด - เป็นบ้า


จิต' คำคำนี้ในสังคมไทย เป็นคำที่มีความหมายค่อนข้างลบ แถมยังผูกพ่วงมากับภาพลักษณ์ของความน่ากลัวและน่าอันตราย เอาเป็นว่าถ้ามีคนโรคจิตสักคน มาขออาศัยอยู่ร่วมชายคา เชื่อว่าคนร้อยทั้งร้อยต้องคิดทบทวนกันอย่างหนัก และมีน้อยยิ่งกว่าน้อยที่ตอบว่าเอาสิ ได้โดยไม่มีความเคลือบแคลงกังวล

แต่ทราบหรือไม่ว่า ในความเป็นจริงแล้ว ปีๆ หนึ่ง มีคนไทยที่ป่วยเป็นโรคทางจิตอยู่ถึงกว่าหนึ่งแสนคน โดยอันดับแรก เป็นผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคจิตเภท รองลงมาก็เป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า และตามติดมาด้วยผู้ป่วยอาการทางจิตที่เนื่องมาจากการเสพสารเสพติด
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจากอะไรก็ตาม ก็นับเป็นผู้ป่วยทางจิตทั้งนั้น แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น ก็คือ ในบรรดาผู้ป่วยกว่า 100,000 คนที่เข้ามารับการรักษานั้น เกือบทั้งหมดเป็นคนที่มีอายุเฉลี่ย 20 – 30 ปี หรือพูดง่ายๆ ก็คือผู้ป่วยทางจิตของไทยส่วนมากจะเป็นคนในวัยซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ

มันเกิดอะไรขึ้นกับหนุ่มสาวไทยกันแน่นะ ???

หนุ่มสาวไทยกับอาการป่วยไข้ทางจิต

การที่คนอายุ 20 – 30 ปี กว่าแสนคน ตบเท้าเดินเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการทางจิตในปีที่ผ่านมา หากลองทบทวนให้ดี ตัวเลขเหล่านี้ ย่อมมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่สามารถบอกอะไรบางอย่างกับเราได้
นายแพทย์ศักดา กาญจนาวิโรจน์กุล ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลศรีธัญญา ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับผู้ป่วยที่เป็นโรคจิตเภทไว้ว่า สาเหตุที่แท้จริงนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าเกิดมาจากอะไร ซึ่งส่วนใหญ่ที่มักแสดงอาการในช่วงคนอายุ 20-30 ปีนั้น ก็เนื่องจากในช่วงอายุนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมองที่เรียกว่า สื่อนำทางประสาทผิดปกติ จึงทำให้ระบบความคิดของผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงไป และส่งผลให้มีการแสดงออกทางพฤติกรรมที่แปลก เช่น การแต่งตัวแปลกๆ ควบคุมตัวเองไม่ได้ เก็บตัว ไม่ยุ่งกับใคร หรืออาจจะแสดงออกทางลักษณะประสาทหลอนก็เป็นได้

“ถือว่าเป็นอาการผิดปกติของคน จะเกิดอาการประสาทหลอนทางหู ตา หรือการหลงผิดต่างๆ ที่ผ่านมาเราเจอกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นจิตเภทอยู่สองประเภท คือ แสดงออกทางบวก พวกนี้จะเอะอะ โวยวาย ก้าวร้าว หูแว่ว หลงผิดคิดว่าคนจะมาทำร้าย อีกกลุ่มหนึ่งแสดงอาการทางลบ ไม่ยุ่งกับใคร ไม่สังคมกับใคร ไม่ดูแลตัวเอง อยู่เฉยๆ ซึ่งโอกาสเกิดมีร้อยละ 1 เท่านั้น”

ในส่วนของการป้องกันนั้น นายแพทย์คนเดิมบอกว่า ส่วนใหญ่จะป้องกันในกลุ่มผู้ที่ป่วยแล้วไม่ให้กลับมาเป็นโรคเดิมซ้ำมากกว่า ซึ่งถ้าหากจะป้องกันคนทั่วไปไม่ให้เป็นโรคจิตเภทเลย ถือเป็นเรื่องลำบาก เพราะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

อย่างไรก็ตามสิ่งแวดล้อม การเลี้ยงดู ก็มีส่วนช่วยให้คนที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคไม่ให้เป็นได้ และหากเป็นโรคนี้แล้วต้องรักษา เมื่อในทางการแพทย์เชื่อว่ามีสารเคมีผิดปกติ ก็ต้องรักษาโดยการให้ยาร่วมกับการทำจิตบำบัดควบคู่กันไป

“คนที่เป็นมักจะไม่รู้ตัวว่าเป็น แต่คนข้างๆ สามารถสังเกตได้ เขาเป็นโรค คนคนนั้นต้องมีลักษณะพฤติกรรมการพูด เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น เก็บตัว ก้าวร้าว นั่งพูดคนเดียว หรือเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดประสงค์ ง่ายๆ เรื่องการนอน นอนไม่ค่อยหลับก็ช่วยให้สังเกตได้”
นายแพทย์ศักดาบอกอีกว่า จากที่เคยพบในงานวิจัย ผู้ป่วยในโรคนี้ โอกาสที่จะทำร้ายผู้อื่น หรือทำการฆาตกรรม ไม่ต่างจากคนทั่วไปมากนัก เพียงแต่พวกผู้ร้ายที่เป็นโรคจิตเภท เมื่อทำร้ายผู้อื่นจึงตกเป็นข่าวดัง

“จริงๆ แล้วพวกเขาไม่ต่างจากคนทั่วไป ไม่เชื่อลองดูในหนังสือพิมพ์ได้ ส่วนมากที่ก่อคดีก็ไม่ได้เกิดจากคนไข้โรคจิต คนธรรมดาทั้งนั้น แต่เมื่อถามว่าคนไข้กลุ่มนี้เขามีโอกาสที่จะทำอันตรายผู้อื่นหรือไม่ ก็แค่ช่วงที่อาการกำเริบเขาก็จะควบคุมตัวเองได้น้อย และอาจจะมีโอกาสทำได้ง่ายกว่าคนปกติ”
และจากการวิจัยนั้นยังบอกอีกว่า ส่วนใหญ่แล้ว คนไข้จิตเภท มักจะเป็นฝ่ายถูกทำร้ายจากคนที่ไม่ได้ป่วยเสียมากกว่า

เครียดก็บ้าได้

จากข้อมูลที่นายแพทย์ศักดา ให้มา ทำให้เราทราบว่าแท้แล้ว โรคจิตเภทนั้น เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้ ทั้งยังไม่รู้ที่มาของสาเหตุชัดเจน รู้แต่ว่ามันสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีบางอย่างในสมอง ซึ่งในทางการแพทย์นั้น เชื่อกันว่า นั่นเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคทางจิต
หากแต่เมื่อมองไปรอบๆ ตัว ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นอกจากเรื่องของสารเคมีในสมอง ที่เป็นเรื่องทางการแพทย์แล้ว ความเครียดจากสภาวะสังคม ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่คนทั่วไปเชื่อว่า มันส่งผลต่ออาการป่วยไข้ของจิตใจแน่นอน

ปิยศักดิ์ ประไพพร หนุ่มวัยใกล้ 30 ที่กำลังต่อสู้แบบปากกัดตีนถีบ เพื่อความอยู่รอดในสังคม เล่าให้เราฟังว่าความเครียดในการหาเลี้ยงชีวิตก็มีผลกับจิตใจไม่แพ้กับการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ซึ่งอาจจะนำไปสู่อาการป่วยไข้ทางจิตได้ง่ายๆ แต่เขาโชคดีที่เขาค้นพบทางออกของตัวเองในการจัดการความเครียดเหล่านั้นแล้ว

“คนในวัยเกือบสามสิบ หรือคนวัยผมทุกคนนั้นค่อนข้างมีความเสี่ยงนะ สังคมมันค่อนข้างกดดัน เพราะแต่ละคนมีความมุ่งหมายที่ตั้งเอาไว้แล้วต้องไปให้ถึง ตอนนี้หลายคนก็ต้องคิดแล้วว่าจะซื้อบ้านดีไหม? จะต้องอยู่หอไปจนแก่หรือ? บางทีก็งงๆ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปในอนาคตดี อย่างผม ซึ่งเป็นคนที่เรียนไม่จบอาจจะเสี่ยงเยอะกว่า เพราะว่าทางเลือกที่เลือกได้มันยิ่งแคบลงๆ มีความกดดันมากกว่าคนที่เรียนจบและมีทางเลือกในการทำงาน

“ทางออกของผมก็คือ การคิดให้ตก คิดให้มากจนไม่ต้องคิดมากอีกต่อไป อย่างเช่น เมื่อก่อนเรามีเป้าหมายชีวิตทั้งเรื่องบ้านเรื่องลูกสูง แต่เอาเข้าจริงมันยังทำไม่ได้ เราก็ต้องคิดที่จะลดเป้าหมายลงมา อยู่ในสภาพความเป็นจริง ค่อยๆ คิดค่อยๆ ทำไป ถ้าเราคิดตกจริงๆ เราจะไม่เครียดและไม่มีปัญหาทางจิตนะ แต่ถ้าคิดไม่ได้ สมมติมีเงินเดือนแค่หมื่นกว่า แต่ยังอยากได้รถ ไม่ยอมปรับเป้าหมายสุดท้ายก็ต้องไปซื้อมา สุดท้ายปัญหามันก็ไม่จบ อย่างนี้อาจจะป่วยทางจิตเอาได้ง่ายๆ เพราะปัญหาเก่าใหม่มันมารุมเร้า”
เช่นเดียวกับ นาถณดา ชัชวาลกิจกุล สาวพนักงานธนาคาร ที่ถึงแม้จะมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง แต่ก็ต้องเผชิญกับงานที่ซ้ำซาก และน่าเบื่อหน่ายอยู่ทุกวี่ทุกวัน แต่กระนั้น เธอก็มีทางออกสำหรับระบายความเครียดของตนเอง

“งานที่เราทำมันเป็นงานรูทีน เหมือนกันทุกวัน และเกิดความเครียดในการทำงานได้ง่าย ถ้าไม่มีการระบาย จิตใจอาจจะมีปัญหาได้นะ ซึ่งสำหรับเราแล้ว การได้พบ ได้พูดคุยกับเพื่อนนั้น เป็นทางออกที่ดีที่สุด คือเวลาเจอกัน เราไม่ต้องถึงขั้นเล่าเรื่องหนักใจของเราให้เขาฟังหรอก แค่พูดคุย เล่นกันเฉยๆ ก็ผ่อนคลายแล้ว”

ตัวอย่างเยียวยาหัวใจให้ฟื้นจากความซึมเศร้า

10 กว่าปีก่อน ในแวดวงแฟชั่นระดับโลก ชื่อเสียงเรียงนามของ ยุ้ย-รจนา เพชรกันหา หญิงสาวจากอุบลราชธานีผู้นี้ คือซูเปอร์โมเดลที่ได้รับการยอมรับ เธอคือพรีเซ็นเตอร์ที่ชาแนลรักใคร่ เป็นที่ชื่นชอบของคัมภีร์แฟชั่นอย่าง VOGUE เป็นหญิงสาวที่ทำให้โลกตะวันตกได้ตระหนักถึงความงามของเอเชีย กระทั่งได้รับการกล่าวขานว่า เธอคือภาพแทนของความงามแห่งโลกตะวันออก
“ยุ้ยต้องใช้เวลานานหลายปีเลยค่ะ กว่าจะกลับมาเข้มแข็งได้ ยอมรับว่าช่วงที่ชีวิตย่ำแย่ จิตใจเราอ่อนแอมากๆ แล้วยุ้ยก็บอกตรงๆ ได้เลยค่ะ ว่าครอบครัวยุ้ย ไม่ได้อบอุ่นนัก พอเรามีโอกาสได้ไปพบกับสภาพสังคมในเมืองใหญ่ ไปพบกับแรงกดดันและไปพบกับสิ่งยั่วยุมากมายโดยที่พื้นฐานจิตใจเราไม่ได้มีเบ้าหลอมที่แข็งแรง มันก็ทำให้เราถูกชักจูง ถูกคล้อยตามจากคนไม่ดีได้ง่าย ยุ้ยว่าสภาพสังคมรอบข้าง ผู้คนรอบข้างก็มีส่วนที่ทำให้เราเกิดความกดดัน ทำให้เราเกิดความเครียด และทำให้เราหลงคล้อยตามไปกับสิ่งต่างๆ ที่ไม่ดี และนอกจากผู้คนรอบข้าง สภาพสังคมรอบตัวแล้ว สภาพจิตใจของเราก็มีส่วนมากๆ เหมือนกัน ซึ่งยุ้ยก็ยอมรับว่ายุ้ยไม่หนักแน่น ไม่เข้มแข็งพอ”

เมื่อจิตใจของเธอไม่อาจทัดทานสิ่งยั่วยุที่เป็นค่านิยมของวงการ สยบยอมต่ออำนาจยาเสพติด ทั้งจิตใจไม่อาจรับมือกับความสำเร็จ 'ระดับโลก' ที่ประเดประดังมาอย่างไม่คาดคิด การปล่อยตัวปล่อยใจอย่างเคว้งคว้างไร้หลักที่มั่นคง จึงนำเธอไปสู่จุดตกต่ำอย่างที่สุด ติดยางอมแงม ตกอับกลับมาเมืองไทยด้วยสภาพจิตใจล้มเหลว มีผลข้างเคียงจากการติดยาเป็นเวลานาน มีเงินใช้วันละไม่ถึง 100 บาท แต่ในที่สุด ด้วยกำลังใจจากแม่ของเธอและคนรอบตัวที่รักและหวังดีอย่างแท้จริง ยุ้ย ก็กลับมาใช้ชีวิตอย่างรู้คุณค่าอีกครั้ง ทั้งยังฝากเป็นกำลังใจให้ทุกๆ คน ที่กำลังประสบกับภาวะความเครียด ซึมเซา เนื่องจากสภาพสังคมและผู้คนรอบข้างว่า

“ที่ยุ้ยเป็นห่วงมากๆ ก็คือเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่อายุยังน้อย เพราะเขาเป็นวัยที่อาจจะถูกชักจูงได้ง่าย ถ้าไปเจอคนไม่ดี ชักนำไปในทางไม่ดีก็อาจคล้อยตาม อยากให้ทุกคนเลือกคบเพื่อนดีๆ คบคนดีๆ ตัวยุ้ยเองที่กลับมาเข้มแข็งได้ ยอมรับเลยว่า แม่ของยุ้ยเป็นคนสำคัญมากๆ ที่คอยให้กำลังใจ แล้วก็ใครอีกหลายๆ คนที่เป็นคนดี มองโลกในมุมดีๆ อยู่ใกล้คนที่มีทัศนคติดีๆ แล้ว ชีวิตเราจะมีความสุขขึ้น แต่นอกจากการเลือกคบคนดีๆ และมีพ่อแม่ผู้ปกครองที่คอยใส่ใจลูกๆ แล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือ ตัวเราเองก็ต้องมีจิตใจที่หนักแน่น เข้มแข็งด้วย ซึ่งทุกวันนี้ยุ้ยเข้มแข็งขึ้นได้ ก็เพราะได้หันมาสนใจ ศึกษาธรรมะ ทำให้จิตใจเราสงบและมีสติ เป็นสิ่งที่ช่วยได้มากเลยค่ะ”

เมื่อความสำเร็จหรือล้มเหลว ล้วนเป็นธรรมดาของชีวิต การที่ยุ้ยยอมรับความเป็นจริง ยอมรับความผิดพลาดและกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง จึงน่าจะเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้ใครที่กำลังท้อแท้ ซึมเซา จมจ่อมอยู่กับปัญหาชีวิตที่เป็นผลร้ายบั่นทอนทางจิต จนอาจจะเป็นโรคจิตถึงบ้าได้ ให้ลุกขึ้นสู้อีกครั้ง
แต่ไม่ว่าคนเราจะมีอาการป่วยทางจิตด้วยสาเหตุใดก็ตาม ความจริงข้อหนึ่งที่เราต้องยอมรับก็คือ ในสังคมที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ มีคนที่มีความเสี่ยงที่จะป่วยทางจิตอยู่ถึง 1 ใน 100 และใครจะรู้ว่าหนึ่งในนั้น อาจจะเกิดขึ้นกับเราในวันใดวันหนึ่งก็ได้ ดังนั้น ทางที่ดีก็ควรที่จะเริ่มดูแลสุขภาพจิตของตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อว่า เราจะได้มีชีวิตที่ห่างไกลโรคจิตเภทและสามารถดำรงชีวิตอย่างปกติท่ามกลางสภาพสังคมที่สับสนซับซ้อนและชวนป่วยอย่างในทุกวันนี้

คู่มือสังเกตคนเพี้ยน (Schizoid personality Manual)

การที่จะรู้หรือไม่รู้ว่าใครจะเป็นโรคจิตเภทหรือไม่นั้น สามารถทำได้โดยการสังเกตอาการและดูดีกรีความเพี้ยนในการใช้ชีวิตของเขา ว่าดำเนินไปอย่างไร ซึ่งถ้าหากใครมีคุณสมบัติความเพี้ยนครบ 8 ข้อ ดังข้างล่างนี้ ก็แนะนำให้พาเขาไปหาหมอได้ทันที เพราะเขาคนนั้นมีโอกาสป่วยเป็นโรคจิตเภทเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว
  1. ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับใคร แม้แต่คนในครอบครัว,
  2.  ชอบทำงานที่ทำคนเดียว หรือกิจกรรมที่ทำคนเดียว
  3.  ไม่ค่อยมีความสุข หรือสนุกกับอะไรเป็นพิเศษ 
  4.  ไม่มีเพื่อนสนิทคนอื่นซึ่งไม่ใช่ญาติสายตรง (อาจจะสนิทกับญาติสายตรงบางคนได้) 
  5. รักษาความสัมพันธ์กับคนอื่นนานๆ ไม่ได้ เช่น คบเพื่อนนานเป็นปีๆ หรือสิบๆ ปีได้ยาก ฯลฯ 
  6. ไม่หวั่นไหวต่อคำสรรเสริญและนินทา (แต่ไม่ใช่ผู้บรรลุธรรมชั้นสูงแต่อย่างใด) 
  7. แสดงความรู้สึกน้อย (ทั้งด้านบวกและลบ) 
  8. มีความคิดเพ้อเจ้อ ฝันกลางวัน
ข้อมูลจาก clevelandclinic.org

โรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่รั้งตำแหน่งที่สองของผู้ป่วยทางจิตในบ้านเรา ซึ่งถ้าเราจะนิยามความหมายแล้ว ก็อาจจะบอกได้คร่าวๆ ว่า โรคซึมเศร้านั้นคือ การป่วยทั้งร่างกาย จิตใจและความคิด ซึ่งผลของโรคกระทบต่อชีวิตประจำวันเช่นการรับประทานอาหาร การหลับนอน ความรับรู้ตัวเอง ผู้ป่วยไม่สามารถประสานความคิด ความรู้สึกของตัวเพื่อแก้ปัญหา หากไม่รักษาอาการอาจจะอยู่เป็นเดือน ซึ่งโรคซึมเศร้าแบ่งอาการได้เป็น 3 กลุ่มดังนี้
  1. Major depression ผู้ป่วยจะมีอาการ เช่น รู้สึกซึมเศร้า กังวล หงุดหงิดฉุนเฉียว โกรธง่าย อยู่ไม่สุข กระวนกระวาย ซึ่งอาการเหล่านี้จะรบกวนการทำงาน การรับประทานอาหาร การนอน การเรียน การทำงาน และอารมณ์สุนทรีย์ อาการดังกล่าวจะเกิดเป็นครั้งๆ แล้วหายไปแต่สามารถเกิดได้บ่อยๆ  
  2. Dsthymia เป็นภาวะที่รุนแรงและเป็นเรื้อรังซึ่งจะทำให้คนสูญเสียความสามารถในการทำงานและความรู้สึกที่ดี  
  3. Bpolar disorder หรือที่เรียกว่า manic-depressive illness ผู้ป่วยจะมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ซึ่งบางคนอาจจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่วนมากจะค่อยเป็นค่อยไป เวลาซึมเศร้าจะมีอาการมากบ้างน้อยบ้าง แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นช่วงอารมณ์ mania ผู้ป่วยจะพูดมาก กระฉับกระเฉงมากเกินกว่าเหตุ มีพลังงานเหลือเฟือ ในช่วง mania จะมีผลกระทบต่อความคิด การตัดสินใจและพฤติกรรมผู้ป่วยอาจจะหลงผิด หากไม่รักษาภาวะนี้อาจจะกลายเป็นโรคจิตเภท 
ซึ่งการรักษาอาการของโรคซึมเศร้านั้น ทำได้ 2 วิธีคือการช็อตไฟฟ้า (ECT) ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรง และการใช้ยาต้านโทมนัส

ที่มา : http://www.siamhealth.net/

เรื่อง ทีมข่าว CLICK