วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554







icspft ได้จำแนกสมรรถภาพทางกายพื้นฐานออกเป็น 7 ประเภท คือ
1. ความเร็ว (Speed) หมายถึง ความสามารถของกล้ามเนื้อที่สามารถทำงาน หรือเคลือนที่ซ้ำ ๆ กันได้อย่างรวดเร็ว
2. พลังกล้ามเนื้อ (Muscle power) หมายถึง ความสามารถของกล้ามเนื้่อที่หดตัวได้แรง และทำให้วัตถุหรือร่างกายเคลื่อนที่ออกไปเป็นระยะทางมากที่สุดในเวลาจำกัด
3. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscle strength) หมายถึงความสามารถของกล้ามเนื้อที่หดตัวเพื่อเคลื่อนน้ำหนักหรือต้านน้ำหนักเพียงครั้งเดียวโดยไม่จำกัดเวลา
4. ความอดทนของกล้ามเนื้อ (Muscle endurance) ความสามารถของกล้ามเนื้อที่ทำงานได้นานโดยไม่เสื่อมประสิทธิภาพ
5. ความคล่องแคล่วว่องไว (Agility) หมายถึงความสามารถของร่างกายในการควบคุมการเปลี่ยนทิศทางการเคล่ือนไหวได้อย่างรวดเร็วและตรงเป้าหมาย
 6. ความอ่อนตัว (flexibility) หมายถึงความสามารถของร่่างกายในการเคลือนไหวให้ได้มุมของการเคลื่อนไหวอย่างเต็มที่
7. ความอดทนทั่วไป (General endurance ) หหมายถึงความสามารถของระบบทางเดินหายใจ และการไหลเวียนโลหิตที่ทำงานได้นานต่อเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ร่างกายมีการเคลื่อนไหวหรือเคล่ือนที่

ที่มา / http://www.spotscience.sat.or.th/
update/ 24 /08/2011







วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

















"ชาวกรุง" อีคิวต่ำสุดโต่ง! โมโห คลั่ง ฆ่า เป็นอาจิณ

อารมณ์นั้นเปรียบดั่งลาวาที่เดือดอยู่บนภูเขาไฟ เมื่อถูกปลุกเร้าจากสภาวะแวดล้อมรอบกายมากขึ้น ๆ ก็พร้อมจะระเบิดออกมาผลาญทุกส่ิง  ถ้ามองภาพในสังคมเมืองอย่างกรุงเทพมหานครก็จะพบว่า ลาวาของแต่ละคนนั่นพลุ่งพล่านกันอย่างเต็มที่ และจุดเดือดอารมณ์ที่ไร้การควบคุมนี้เองก็นพมาซึ่งเหตุอาชญากรรม

สะท้อนถึงภาวะอีคิวต่ำ ( E.Q. Emotional Quotein คือความฉลาดทางอารมณ์ ) ที่ทำให้คนมีระดับความอดทนลดลง กลายเป็นสภาวะทางอารมณ์ที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ กระทั่งนำไปสู่พฤติกรรมที่แสดงออกอย่างรุนแรง

โดยเฉพาะที่เห็นได้บ่อย ๆ ในกรุงเทพฯตั้งแต่เหตุการณ์เบา ๆ อย่างทะเลาะวิวาทกันบนท้องถนนเพราะบีบแตรไล่กัน การดื่มสุราและเกิดการทะเลาะวิวาท ฯลฯ หรือเหตุร้ายแรงที่ถึงขั้นเอาชีวิตเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อย่างเช่นกรณีนายทหารท่านหนึ่งตั้งใจขับรถพุ่งชนแพทย์หญิง เพราะเกิดความเครียดจนไม่สามารถควบคุมอามรมณ์ของตนเองได้ หรืออย่างกรณีไฮโซหนุ่มขับรถยนต์ไล่บี้คนเดินถนนริมฟุตบาธจนถึงแก่ชีวิต ฯลฯ

จากการสำรวจสุขภาพจิตคนกรุงเทพฯ ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  และมหาวิทยาลัยมหิดล  ที่ทำการสำรวจจาก 100,000 คน ทั่วประเทศ ในปี 2551-2553 เผยว่าผลสำรวจสุขภาพจิตของคนไทยทั่วภูมิภาคล้วนมีความสุขเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยกเว้นชาวกรุงเทพมหานครมีความสุขลดลงต่อเนื่องกันถึง 3 ปี

กลายเป็นตัวบ่งถึงภาวะ E.Q. ของชาวกรุงว่าเข้าข่ายวิกฤติและมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคจิตมากขึ้น  ซึ่งดูจากคดีที่มีความรุนแรงก็ล้วนเกิดโดยฝีมือคนเมืองแทบทั้งสิ้น

เจาะเบื้องหลังการสำรวจสุขภาพจิตคนไทย

แน่นอนว่าาชนวนเหตุที่่พบนั้นเริ่มมาจากตัวบุคคลเอง  และอีกส่วนหนึ่งเป็นเกิดจากสภาพแวดล้อมรอบกาย นพ.อภิชัย มงคล  อธิบดีกรมสุขภาพจิต  เปิดเผยว่า  การวัดสุขภาพจิตของผลสำรวจดังกล่าวจะใช้ 4 ประเด็นในการวัด  เพื่อให้ได้ผลที่มีความสมดุลกัน

"ประเด็นแรกคือเราวัดจากเรื่องสภาวะทางจิตใจ เรื่องการซึมเศร้าต่าง ๆ ส่วนในประเด็นที่สองวัดจากเรื่องของความสามารถทางจิตใจว่าสามารถรับมือในความเปลี่ยนแปลง การจัดการความเครียด การมองโลกในแง่ดีแค่ไหน  ในประเด็นที่สามคือวัดคุณภาพของจิตใจ การยินดี  อยากช่วยเหลือผู้อื่นที่อยู่ในสภาวะยากลำบาก  วัดว่าเราเป็นคนที่มีจิตสาธารณะ  มีจิตการกุศลช่วยเหลือคนอื่นหรือเปล่า  ส่วนประเด็นสุดท้ายวัดจากเรื่องสภาพแวดล้อมครอบครัว  ฉะนั้นมันจึงเป็น 4 ประเด็นที่สมดุลกัน  เพื่อให้รับรู้ว่าภาพรวมบุคคลนั้นมีสุขภาพจิตอย่างไร"

ซึ่งสถิติที่ประกาศออกมานั้นเป็นการสุ่มสำรวจจากอาสาสมัครทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ  นพ.อภิชัย  กล่าวเพิ่มเติมว่า  จากผลสำรวจนั้นเบื้องต้นก็จะมีการนำมาพัฒนากลยุทธเพื่อหวังจะให้สภาวะทางอารมณ์ของชาวเมืองในแต่ละจังหวัดให้อยู่ในระดับที่ดียิ่งขึ้น 

"ทางเราก็จะเผยแพร่ข้อมูลอยู่เป็นระยะว่า ทำอย่างไรจะให้ดีขึ้น มีทางเลือกหลากหลายประการ ที่จะทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้นได้แค่ทำไม่กี่เรื่องโดยไม่ต้องทำทุกเรื่อง  ซึ่งจะมีข้อมูลรายละเอียดบอกว่าจังหวัดใดมีจุดอ่อนตรงไหน  เพราะใน 4 ประเด็นนั้นแต่ละจังหวัดจุดอ่อนจะไม่เหมือนกัน  ไม่ใช่ทุกคนจะต้องทำเหมือนกัน  นี่คือเรื่องของสังคม ชุมชน และตัวบุคคล  ถ้ารู้สึกว่ามีปัญหาความสุขต่ำกว่าคนทั่วไป ก็ควรจะพัฒนาความสามารถในทางจิตใจเรื่องของความดีงามของจิตใจ"

เรื่องของสุขภาพจิตนั้นคงเป็นเรื่องที่ละเอียดละอ่อนเกินกว่าจะให้ออกกฎหมายมาควบคุมอารมณ์ความรู้สึก  ฉะนั้นคงถือเป็นสภาวะฉุกคิดที่ทุกฝ่ายต้องเร่งตระหนักเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงจากลาวาอารมณ์นี้ได้อีก

คดีเยอะขึ้น ตำรวจก็เดือดร้อนจากคนกรุงอีคิวต่ำ

จากเสียงของผู้พิทักษ์สันติราชอย่าง พล.ต.ต.ปิยนะ  อุทาโย  รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ยอมรับว่า  ปัจจุบันคนจำนวนมากมีความอดทนน้อยลง  สัมผัสได้จากเหตุการณ์หลาย ๆ กรณี เช่น ปัญหาเรื่องการจราจรเล็ก  แล้วจบท้ายด้วยการทำร้ายร่างกาย  หรือแม้แต่ปัญหาครอบครัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ถูกขยายขึ้นมาจนนำมาสู่ปัญหาที่ใหญ่ขึ้น

"ต้องยอมรับว่า ใน 3-4 ปีหลัง มีการยกระดับของปัญหาอาชญากรรมขึ้นมาเยอะมาก  ทั้ง ๆ ที่ดูแลปัญหาบางอย่างก็น่าจบได้ง่าย ๆคดีจราจรเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยว่าคนจะยอมกันได้น้อยลง  และนอกจากนี้ยังมีเรื่องการทะเลาะวิวาท หรือเรื่องของนักการเมืองก็มีลักษณะคล้าย ๆ กัน แต่ถ้าถามว่าสาเหตุมาจากการลดลงของอีคิวในคนเมืองหรือเปล่านั้น  ผมมองว่าก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งเท่านั้น  เพราะอีคิวมันก็ถือเป็นเรื่องที่กว้างเกินไป  แต่ถ้าเราเจาะลึก ๆ ปัญหาหลักน่าจะเป็นความอดทนที่น้อยลง"

ซึ่งพอเกิดปัญหาในลักษณะนี้ขึ้นมามาก ๆ การแก้ไขปัญหาก็ทำได้ยากขึ้นตามไปด้วย  ซึ่งมีหลายครั้งที่ตำรวจจะต้องเข้ามาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย  ซึ่งบางครั้งก็สำเร็จ บางครั้งก็ไม่สำเร็จ และก็มีอีกหลายครั้งที่ตำรวจได้รับลูกหลงจากปัญหาความอดทนที่น้อยลงของประชาชนไปด้วย

กรณีศึกษาซ้ำซาก

"ลูกศิษย์ของดิฉันที่เป็นตำรวจยังถูกยิงตายเลย  เพราะว่าไปพูดจาสอนพลตำรวจที่ยศต่ำกว่าแต่อายุมากกว่า  พอถึงจุด ๆ กลับหนึ่งกลับถูกยิงตาย  เพราะนายตำรวจผู้นั้นเขาควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ และไม่ใช่ว่าลูกศิษย์ของดิฉันจะไม่ดี เชื่อว่าเขาพูดด้วยความหวังดีแต่คนเขารับไม่ได้ เพราะมองคนละมุม"

อีกตัวอย่างหนึ่งของบุคคลที่ขาดการควบคุมทางอารมณ์จนเกิดเหตุสลดใจของ รศ.สุพัตรา  สุภาพ  อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา  คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า  สภาพแวดล้อมนั้นเป็นตัวยั่วยุให้คนนในปัจจุบันขาดการควบคุมทางด้านอารมณ์

ทั้งนี้  เราสามารถเสริมสร้างความฉลาดทางอารมณ์ได้ตั้งแต่วัยเด็ก  เพื่อที่จะรู้จักควบคุมตนเองให้พ้นจากสิ่งเร้ารอบข้าง  และจัดการปัญหาโดยไม่ใช้ปัญญามากกว่าอารมณ์  รศ.สุพัตรา สุภาพ  กล่าวว่า  การบริหารอารมณ์นั้นเป็นมีอยู่หลายปัจจัย  ทั้งอยู่ที่ตัวเรา คนอื่น และสิ่งแวดล้อม  แต่หลัก ๆ เลย ถ้าใครก็ตามได้รับความอบอุ่นจากบ้าน จากโรงเรียน จากเพื่อน เขาก็จะไม่ค่อยทำผิด  จะมีสุขภาพจิตที่ดีบริหารอารมณ์ของตัวเองได้

"ทุกคนเป็นคนดี เพียงแต่ว่าถ้าเขาไม่ดีเราก็ปรับเขา  ถ้าเขาดีอยู่แล้วเราก็ช่วยให้เขาดีขึ้น  ทุกวันนี้ที่ทำผิดกันเพราะสิ่งแวดล้อมไปทำลายเขา  มนุษย์เรามีลักษณะปรับตามสิ่งแวดล้อม  เมื่อสิ่งแวดล้อมมันยั่วคน พอถึงจุดหนึ่งมันก็ระงับอารมณ์ไม่ได้  เราสังเกตได้เลยว่าอารมณ์มันอยู่ที่ตัวเรา  เพราะฉะนั้นก็จะเห็นว่าคนมั่งมีไม่ใช่จะต้องประพฤติตัวดีเสมอไป  มันมีสิ่งยั่วยุรอบข้างทำให้เขาเป็น แต่เราสร้างอารมณ์ควบคุมคุณภาพของอารมณ์ได้ตั้งแต่เล็ก  เรื่องของอารมณ์มันต้องช่วยเหลือกันตั้งแต่ครอบครัว โรงเรียน สิ่งแวดล้อม เพื่อน ฯลฯ"

ขณะเดียวกันในมุมมองของ ขจรศักดิ์  ใจเที่ยง  พนักงานบริษัทควบคุมการก่อสร้างย่านธุรกิจใจกลางเมือง  ก็เปิดเผยว่าในสังคมเมืองกรุงนั้นมีความเครียดมากกว่าในอดีต  ซึ่งเกิดจากปัจจัยที่เชื่อมโยงกันในหลายมิติทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และตัวเองก็ตกอยู่ในสภาวะเครียดก็เนื่องมาจากปัญหาทั้งด้านการเมือง สังคม และเรื่องปากท้อง และทุกเรื่องก็ล้วนเกี่ยวข้องกันหมด

"มันไม่เหมือนเดิม อย่างเรื่องการเมืองสมัยก่อน กับเพื่อนเราคุยกัน เราอาจจะชอบคนละพรรคแต่มันแรงเท่ากับปัจจุบัน ที่มีการแบ่งสี  พอคุยกันเรื่องการเมืองเพื่อนบางคนเลิกคบกันไปเลยก็มี  เพราะคุยกันแล้วก็ทะเลาะกัน  ส่วนเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องปากท้อง เรื่องราคาสินค้า  เราเคยซื้อสินค้าตามห้างจากเมื่อก่อนอาจจะสัก 1,000 แต่เดียวนี้ก็ขึ้นเป็น 1,500 หรือขึ้นไปถึง 2,000 บาท ราคาของมันเพิ่ม แล้วเรื่องสังคมก็มี  ซึ่งถ้าพูดไปแล้วมันก็วนกลับมาที่เรื่องการเมืองอีกนั่นแหละ  มันเกี่ยวโยงกันหมด"

แม้ปัจจุบันนั้นชีวิตในเมืองเครียดกว่าอดีตที่ผ่านมามาก  แต่ขจรศักดิ์ก็สามารถจัดการกับความเครียดได้ดี  และที่สำคัญคงเป็นเพราะเขาเคยผ่านช่วงวิกฤตของชีวิตมาแล้ว

"ตอนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2540 บริษัทต้องเอาพนักงานออก  ผมก็ตกงานอยู่พักหนึ่งซึ่งเครียดและถือเป็นวิดฤตที่หนัก  แต่พอผ่านพ้นจุดนั้นมาได้ก็สามารถรับมือกับความเครียดอื่นได้ดีขึ้น  เดี่๋ยวนี้ถ้าว่าง ๆ ผมก็จะไปเดินเล่นแถวเวิ้งฯ ดูการแสดงดนตรีบ้าง แล้วก็เล่นดนตรีไทย"

ถึงเป็นเพียงการสุ่มสำรวจจากประชากรเพียงส่นหนึ่งของประเทศ  แต่ก็น่าจะกระตุ้นเตือนชาวไทยกว่า 70 ล้านคน  โดยเฉพาะชาวกรุงเทพฯที่มีอยู่ 10 ล้านกว่าคน  ให้หันมาดูแลสุขภาพจิตเพื่อสร้างความาฉลาดทางอารมณ์ของตัวเองและคนรอบข้างให้มากยิ่งขึ้น  คงไม่มีใครอยากทำผิดเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ  และคงไม่มีใครอยากเป็นเหยื่ออารมณ์ผู้อื่น

ที่มา : www.manager.co.th/DailyNews.aspx?NewaID=9540000080166
update : 3/7/2554

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

























ความเครียด (Stress)

ความเครียดสามารถเกิดได้ทุกแห่งทุกเวลาอาจจะเกิดจากสาเหตุภายนอกเช่น การย้ายบ้าน การเปลี่ยนงาน ความเจ็บป่วย การหย่าร้าง ภาวะว่างงานความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว หรืออาจจะเกิดจากภายในผู้ป่วยเอง เช่นความต้องการเรียนดี ความต้องการเป็นหนึ่งหรือความเจ็บป่วย

ความเครียดเป็นระบบเตือนภัยของร่างกายให้เตรียมพร้อมที่กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การมีความเครียดน้อยเกินไปและมากเกินไปไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ส่วนใหญ่เข้าใจว่าความเครียดเป็นสิ่งไม่ดีมันก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หัวใจเต้นเร็ว แน่นท้อง มือเท้าเย็น แต่ความเครียดก็มีส่วนดีเช่น ความตื่นเต้นความท้าทายและความสนุก สรุปแล้วความเครียดคือสิ่งที่มาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตซึ่งมี่ทั้งผลดีและผลเสีย

ชนิดของความเครียด
  1. Acute stress คือความเครียดที่เกิดขึ้นทันทีและร่างกายก็ตอบสนองต่อความเครียดนั้นทันทีเหมือนกันโดยมีการหลั่งฮอร์โมนความเครียด เมื่อความเครียดหายไปร่างกายก็จะกลับสู่ปกติเหมือนเดิมฮอร์โมนก็จะกลับสู่ปกติ ตัวอย่างความเครียด
  • เสียง
  • อากาศเย็นหรือร้อน
  • ชุมชนที่คนมาก ๆ
  • ความกลัว
  • ตกใจ
  • หิวข้าว
  • อันตราย
    2.   Chronic stress หรือความเครียดเรื้อรังเป็นความเครียดที่เกิดขึ้นทุกวันและร่างกายไม่สามารถตอบสนองหรือ
          แสดงออกต่อความเครียดนั้น ซึ่งเมื่อนานวันเข้าความเครียดนั้นก็จะสะสมเป็นความเครียดเรื้อรัง ตัวอย่างความเครียดเรื้อรัง
  • ความเครียดจากการทำงาน
  • ความเครียดที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
  • ความเครียดของแม่บ้าน
  • ความเหงา
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด

เมื่อมีภาวะกดดันหรือความเครียดร่างกายจะฮอร์โมนที่เรียกว่า cortisol และ adrenaline ฮอร์โมนดังกล่าวจะทำให้ความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นเร็วเพื่อเตรียมพร้อมให้ร่างกายแข็งแรง และมีพลังงานพร้อมที่จะกระทำเช่นการวิ่งหนีอันตราย การยกของหนีไฟถ้าหากได้กระทำฮอร์โมนนั้นจะถูกใช้ไป ความกดดันหรือความเครียดจะหายไป แต่ความเครียดหรือความกดดันมักจะเกิดขณะที่นั่งทำงาน ขับรถ กลุ่มใจไม่มีเงินค่าเทอมลูก ความเครียดหรือความกดดันไม่สามารถกระทำออกมาได้เกิดโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้ฮอร์โมนเหล่านั้นสะสมในร่างกายจนกระทั่งเกิดอาการทางกายและทางใจ

ผลเสียต่อสุขภาพ

ความเครียดเป็นสิ่งปกติที่สามารถพบได้ทุกวัน หากความเครียดนั้นเกิดจากความกลัวหรืออันตราย ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจะเตรียมให้ร่างกายพร้อมที่จะต่อสู้ อาการทีปรากฏก็เป็นเพียงทางกายเช่นความดันโลหิตสูงใจสั่น แต่สำหรับชีวิตประจำวันจะมีสักกี่คนที่จะทราบว่าเราได้รับความเครียดโดยที่เราไม่รู้ตัวหรือไม่มีทางหลีกเลี่ยง การที่มีความเครียดสะสมเรื้อรังทำให้เกิดอาการทางกาย และทางอารมณ์ เช่น โรคทางเดินอาหาร โรคปวดศีรษะไมเกรน โรคปวดหลัง โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ ติดสุรา โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด ภูมิคุ้มกันต่ำลง เป็นหวัดง่าย อุบัติเหตุขณะทำงาน การฆ่าตัวตายและมะเร็ง

คุณมีความเครียดหรือไม่
ถามตัวคุณเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่

อาารแสดงทางร่างกาย
มึนงง ปวดตามกล้ามเนื้อ กัดฟัน ปวดศีรษะ แน่นท้อง เบื่ออาหาร นอนหลับยาก หัวใจเต้นเร็ว หูอื้อ มือเย็น อ่อนเพลีย ท้องร่วง ท้องผูก จุกท้อง มึนงง เสียงดังให้หู คลื่นไส้อาเจียน หายใจไม่อิ่ม ปวดท้อง

อาการแสดงทางด้านจิตใจ
วิตกกังวล ตัดสินใจไม่ดี ขี้ลืม สมาธิสั้น ไม่มีความคิดริเริ่ม ความจำไม่ดี ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

อาการแสดงทางด้านอารมณ์
โกรธง่าย วิตกกังวล ร้องไห้ ซึมเศร้า ท้อแท้ หงุดหงิด ซึมเศร้า มองโลกในแง่ร้าย นอนไม่หลับ กัดเล็บหรือดึงผมตัวเอง

อาการแสดงทางพฤติกรรม
รับประทานอาหารเก่ง ติดบุหรี่สุรา โผงผาง เปลี่ยนงานบ่อย แยกตัว

หากท่านมีอาการเครียดมากและแสดงออกทางร่างกายดังนี้
  •  อ่อนแรงไม่อยากทำอะไร
  • มีอาการปวดตามตัว ปวดศีรษะ
  • วิตกกังวล
  • มีปัญหาเรื่องการนอน
  • ไม่มีความสุขกับชีวิต
  • เ็นโรคซึมเศร้า
 ให้ท่านปฏิบัติตามคำแนะนำ 10 ประการ
  1. ให้นอนเป็นเวลาและตื่นเป็นเวลา เวลาที่เหมาะสมสำหรับการนอนคือเวลา 22.00น.เมื่อภาวะเครียดมากจะทำให้ความสามารถในการกำหนดเวลาของชีวิต( Body Clock )เสียไป ทำให้เกิดปัญหานอนไม่หลับหรือตื่นง่าย การกำหนดเวลาหลับและเวลาตื่นจะทำให้นาฬิกาชีวิตเริ่มทำงาน และเมื่อความเครียดลดลง ก็สามารถที่จะหลับได้เหมือนปกติ ในการปรับตัวใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ บางครั้งเมื่อไปนอนแล้วไม่หลับเป็นเวลา 45 นาที ให้หาหนังสือเบาๆมาอ่าน เมื่อง่วงก็ไปหลับ ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือให้ร่างกายได้รับแสงแดดยามเช้า เพื่อส่งสัญญาณให้ร่างกายปรับเวลา
  2. หากเกิดอาการดังกล่าวต้องจัดเวลาให้ร่างกายได้พัก เช่นอาจจะไปพักร้อน หรืออาจจะจัดวาระงาน งานที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วนก็ให้หยุดไม่ต้องทำ
  3. ให้เวลากับครอบครัวในวันหยุด อาจจะไปพักผ่อนหรือรับประทานอาหารนอนบ้าน
  4. ให้เลื่อนการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆในช่วงนี้ เช่นการซื้อรถใหม่ การเปลี่ยนบ้านใหม่ การเปลี่ยนงาน เพราะการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดความเครียด
  5. หากคุณเป็นคนที่ชอบทำงานหรือชอบเรียนให้ลดเวลาลงเหลือไม่เกิน 40 ชม.สัปดาห์
  6. การรับประทานอาหารให้รับประทานผักให้มากเพราะจะทำให้สมองสร้าง serotonin เพิ่มสารตัวนี้จะช่วยลดความเครียด และควรจะได้รับวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณที่เพียงพอ
  7. หยุดยาคลายเครียด และยาแก้โรคซึมเศร้า
  8. ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และอาจจะมีการเต้นรำด้วยก็ดี 
หากปฏิบัติตามวิธีดังกล่าวแล้วยังมีอาการของความเครียดให้ปรึกษาแพทย์

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเครียด
  1. ความเครียดเหมือนกันทุกคนหรือไม่ สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความเครียดในแต่ละคนไม่เหมือนกันและการตอบสนองต่อความเครียดก็แตกต่างในแต่ละคน
  2. ความเครียดเป็นสิ่งไม่ดีจริงหรือไม่ ความเครียดเปรียบเหมือนสายกีตาร์ ตึงไปก็ไม่ดี หย่อนไปเสียก็ไม่ไพเราะ เช่นกันเครียดมากก็มีผลต่อสุขภาพเครียดพอดีจะช่วยสร้างผลผลิต และความสุข
  3. จริงหรือไม่ที่ความเครียดมีอยู่ทุกแห่งคุณไม่สามารถจัดการกับมันได้ แม้ว่าจะมีความเครียดทุกแห่งแต่คุณสามารถวางแผนที่จะจัดการกับงาน ลำดับความสำคัญ ความเร่งด่วนของงานเพื่อลดความเครียด
  4. จริงหรือไม่ที่ไม่มีอาการคือไม่มีความเครียด ไม่จริงเนื่องจากอาจจะมีความเครียดโดยที่ไม่มีอาการก็ได ้และความเครียดจะสะสมจนเกินอาการ
  5. ควรให้ความสนใจกับความเครียดที่มีอาการมากๆใช่หรือไม่ เมื่อเริ่มเกิดอาการความเครียดแม้ไม่มากก็ต้องให้ความสนใจ เช่นอาการปวดศีรษะ ปวดท้องเพราะอาการเพียงเล็กน้อยจะเตือนว่าคุณต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินชีวิตเพื่อลดความเครียด
  6. ความเครียดคือโรคจิตใช่หรือไม่ ไม่ใช่เนื่องจากโรคจิตจะมีการแตกแยกของความคิด บุคลิคเปลี่ยนไปไม่สามารถดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติ
  7. ขณะที่มีความเครียดคุณสามารถทำงานได้อีก แต่คุณต้องจัดลำดับก่อนหลัง และความสำคัญของงาน
  8. ไม่เชื่อว่าการเดินจะช่วยผ่อนคลายความเครียด การเดินจะช่วยผ่อนคลายความเครียดนั้น
  9. ความเครียดไม่ใช่ปัญหาเพราะเพียงแค่สูบบุหรี่ความเครียดก็หายไป การสูบบุหรี่หรือดื่มสุราจะทำให้ลืมปัญหาเท่านั้นนอกจากไม่สามารถแก้ปัญหาแล้วยังก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย
 เมื่อใดต้องปรึกษาแพทย์
  • เมื่อคุณรู้สึกเหมือนคนหลงทางหาทางแก้ไขไม่เจอ
  • เมื่อคุณกังวลมากเกินกว่าเหตุ และไม่สามารถควบคุม
  • เมื่ออาการของความเครียดมีผลต่อคุณภาพชีวิตเช่น การนอน การรับประทานอาหาร งานที่ทำ ความสัมพันธ์ของคุณกับคนรอบข้าง
ที่มา : http://www.siamhealth.net/
ภาพ : http://abhi-sapient.blogspot.com/2010/11/stress.html
Update : 24 พ.ค.2554
“โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ” โรคร้ายคร่าชีวิต “น้องกาว” !!  /รายงานโดยอมรรัตน์ ล้อถิรธร

                                                     

การเสียชีวิตอย่างกะทันหันในต่างประเทศของ น.ส.สโรชา เนียมบุญนำ หรือ “น้องกาว” อายุ 20 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี(เกียรตินิยมอันดับ 2) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไม่เพียงนำมาซึ่งความเศร้าโศกแก่พ่อแม่ ที่ลูกสาวต้องจบชีวิตลงทั้งที่กำลังจะจบการศึกษาเตรียมรับปริญญาในเดือน ส.ค.นี้เท่านั้น  แต่ยังเป็นการสูญเสียบุคลากรอนาคตไกลที่จะเป็นกำลังสำคัญของประเทศไปอย่างน่าเสียดาย  วายร้ายที่คร่าชีวิต “น้องกาว” ลงอย่างรวดเร็วได้ภายใน 1 สัปดาห์ คือโรคร้ายที่ชื่อว่า  “โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ” ชนิดรุนแรงหรือเฉียบพลัน  คำถามตามมาทันทีว่า โรคที่ไม่ค่อยคุ้นหูนี้เกิดจากอะไร? และเราจะเป็นเหยื่อรายต่อไปหรือไม่

ปกติแล้วในสมองของคนเรา จะมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่รอบๆ เพื่อเป็นตัวป้องกันไม่ให้สมองได้รับอันตราย ทั้งยังมีหน้าที่ช่วยให้หลอดเลือดนำอาหารและน้ำไปเลี้ยงสมองด้วย นอกจากสมองจะมีน้ำล้อมรอบแล้ว ก็ยังมีเยื่อที่อยู่รอบๆ สมองอีกชั้นหนึ่ง เรียกว่า “เยื่อหุ้มสมอง” นั่นเอง

แล้วอะไรเป็นสาเหตุให้เยื่อหุ้มสมองเกิดการอักเสบได้บ้าง  ร.ศ.พ.ญ นิจศรี  ชาญณรงค์  แห่งสาขาวิชาประสาทวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์  บอกว่า  เยื่อหุ้มสมองอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะจากการติดเชื้อต่างๆ หรือไม่ผู้ป่วยก็อาจจะมีโรคประจำตัวบางอย่างอยู่ ทำให้ภูมิต้านทานน้อย

มันก็แล้วแต่ว่าคนไข้มีโรคประจำตัวอะไรอยู่หรือเปล่า ในคนปกติก็อาจจะเป็นไวรัสก็ได้ เป็นแบคทีเรียก็ได้ หรือบางคนถ้าภูมิต้านทานไม่ค่อยดีอาจจะติดเชื้อราง่าย อาจจะเป็นเชื้อราที่เยื่อหุ้มสมอง หรือบางคนไปรับประทานอาหารที่มีพยาธิอาจจะมีพยาธิขึ้นไปสมองก็ได้เหมือนกัน พยาธิจะเจอไม่ค่อยบ่อย ที่เจอบ่อยๆ ก็เป็นเชื้อไวรัส ซึ่งส่วนใหญ่อาการไม่ค่อยรุนแรง ก็ปวดหัวมีไข้ คอตึงๆ หน่อย และก็จะค่อยๆ หายไปได้เอง อันที่จะเป็นอันตรายก็คือ อันที่เกิดจากแบคทีเรีย ซึ่งมันเป็นได้ จะอันตรายรุนแรงมาก เป็น 1-2 วันก็อาจจะแย่ อาจจะถึงขนาดหมดสติหรือเสียชีวิตไปเลยก็ได้ หรือเป็นแบคทีเรียที่ไม่รุนแรงมาก เช่น เป็นเชื้อวัณโรค ก็อาจจะทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้”

สำหรับเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียนั้น คุณหมอนิจศรี บอกว่า ปกติแล้วเชื้อทั้ง 2 ตัวนี้จะติดมาจากสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ขณะที่แบคทีเรียบางชนิดก็อยู่ในร่างกายเราอยู่แล้ว เช่น อยู่ที่ระบบทางเดินหายใจ และไม่ได้ทำให้เกิดโรค แต่พอวันดีคืนดี มันก็เกิดแพร่เชื้อทำให้เรามีอาการของโรคขึ้นมา โดยเฉพาะในคนที่มีภูมิต้านทานต่ำจากโรคบางอย่าง เช่น โรคเอดส์ เป็นต้น

ส่วนที่มีการพูดกันว่า นกพิราบมีเชื้อที่ทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้นั้น จริงหรือไม่ คุณหมอนิจศรี ยืนยันว่า เป็นเรื่องจริง

“นกพิราบมันจะมีเชื้อราตัวหนึ่ง ซึ่งถ้าเราไปสัมผัสกับสิ่งที่ออกมาจากนกพิราบ ก็มีโอกาสที่จะไปสัมผัสกับเชื้อราตัวนี้ ถ้าสัมผัสไปแล้วเชื้อมากพอหรือเชื้อเข้าไปในเวลาที่เหมาะสม ก็อาจจะเกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งเป็นจากเชื้อรา แต่อย่างไรก็ตามถ้าไม่ได้อยู่กับนกพิราบ เชื้อราตัวนี้มันก็มีอยู่ในธรรมชาติที่อื่นอยู่แล้วเหมือนกัน”

ได้ทราบสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบกันไปแล้ว มาดูอาการของโรคนี้กันบ้าง คุณหมอนิจศรี บอกว่า อาการของโรคจะรุนแรงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นโรคนี้จากสาเหตุไหน

“แบคทีเรียอาจจะอันตรายที่สุดในกลุ่มของเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เพราะเชื้อมันรุนแรงกว่า คนไข้มักจะมีอาการอยู่ดีๆ มีไข้สูง บางทีก็มีหนาวสั่นร่วมด้วย แล้วก็ปวดศรีษะอย่างรุนแรงมาก บางคนก็จะมีลักษณะ เช่นว่า ตาสู้แสงไม่ได้ เวลาเห็นแสงจ้าๆ แล้วจะแสบตา อาจจะถึงขนาดว่าซึมลง หมดสติ อาจจะมีชักเกร็งและก็อาจจะเสียชีวิตได้ในเวลาอันรวดเร็ว ถ้าเป็นเชื้ออื่นๆ ก็แล้วแต่ว่า บางอย่างก็เป็นเร็ว บางอย่างก็เป็นนาน อีกอันหนึ่งที่เจอได้ก็คือ เป็นเชื้อวัณโรคซึ่งวัณโรคเหมือนที่เป็นในปอด ก็ทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้เหมือนกัน อาการก็คล้ายๆ กัน มีไข้สูง ปวดศีรษะก็จะอยู่ประมาณสักอาทิตย์ 2 อาทิตย์ก็เริ่มแย่ อาจจะมีปัญหาเรื่องแขนขาอ่อนแรงตามมา มีอาการตามองเห็นไม่ชัด ก็เป็นอาการที่โรคมันเป็นมากขึ้น พวกนี้ก็ต้องได้รับการวินิจฉัยให้เร็ว เพื่อจะให้ยาเพื่อที่จะไปรักษาเชื้อโรคอันนี้ให้มันหายไป คนไข้ก็มักจะอาการดีขึ้น แต่บางรายก็อาจจะมีภาวะแทรกซ้อนเหมือนกัน"

สำหรับภาวะแทรกซ้อนนั้น คุณหมอนิจศรี บอกว่า มักจะพบบ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดรุนแรง โดยอาจจะมีภาวะสมองอักเสบร่วมด้วย ซึ่งเกิดจากการอักเสบลุกลามจากเยื่อหุ้มสมองเข้าไปภายในเนื้อสมองนั่นเอง ซึ่งหากเชื้อลุกลามไปที่หลอดเลือดสมอง ก็จะส่งผลให้เลือดไหลไม่สะดวกหรือมีการอักเสบหรือถึงขั้นหลอดเลือดแตกได้ ส่วนคนที่เป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อโรคไข้กาฬหลังแอ่น เชื้อก็อาจจะแพร่กระจายไปในกระแสเลือดได้ด้วย ซึ่งจะส่งผลให้มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง มีเส้นเลือดอักเสบตามแขนและขา บางคนเป็นมากหรือหลอดเลือดอักเสบมาก อาจทำให้เลือดไปเลี้ยงนิ้วและแขนขาไม่ได้ สุดท้ายส่งผลให้นิ้วหลุด นิ้วกุดไปก็มี แต่ก็พบไม่บ่อย นอกจากนี้ยังมีโรคแทรกซ้อนอีกแบบ คือ มีน้ำในสมองมาก ทำให้ตาบอด หรือหูหนวกได้ ซึ่งเกิดจากการอักเสบของสมองนั่นเอง

ปกติแล้ว ถ้าผู้ป่วยมาให้หมอรักษาตั้งแต่ระยะแรก และหมอให้ยาถูกกับชนิดของโรค ก็สามารถหายขาดจากโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ แต่ถ้ามาหาหมอช้าหรือเชื้อดื้อยา การรักษาก็จะยากขึ้น เมื่อโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบค่อนข้างเป็นโรคที่อันตรายหากเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย แล้วเราจะมีวิธีป้องกันตัวเองอย่างไรให้ห่างไกลจากโรคนี้ คุณหมอนิจศรี แนะว่า วิธีป้องกันก็เป็นวิธีทั่วๆ ไป คือดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารให้ถูกต้อง คืออาหารที่ปรุงสุกแล้วเท่านั้น หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจมีพยาธิ ออกกำลังกายตามสมควร อย่างไรก็ตามคุณหมอนิจศรี บอกว่า การหลีกเลี่ยงเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบอาจทำได้ยาก เพราะเป็นเชื้อที่อยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา ดังนั้นถ้าเมื่อไหร่มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง โดยปวดทั้งศีรษะ และมีอาการคอตึงๆ ก้มศีรษะไม่ค่อยถนัด ตาสู้แสงไม่ได้ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า อาจจะเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน!

ที่มา : www.manager,co,th
Update : 20 พ.ค.54

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เตือน! เกษตรกรระวังฉี่หนู หลังเข้าฤดูฝน

















                                                      

เตือน! เกษตรกรระวังฉี่หนู หลังเข้าฤดูฝน

สธ.ย้ำเตือนเกษตรกรระวังฉี่หนู หลังลงไร่-นา หากมีไข้สูง ปวดน่อง ปวดหัวรุนแรง หนาวสั่น รีบพบแพทย์ทันที เพราะอันตรายถึงชีวิต หลังพบปีนี้ป่วยกว่า 548 ราย ตาย 12 ราย ด้านปลัด สธ.เร่ง อสม.ลงพื้นที่ให้ความรู้ประชาชน.

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เร่งประชาสัมพันธ์ย้ำเตือนเกษตรกรระวังโรคฉี่หนู หลังเดินลุยน้ำขัง ย่ำโคลนในนาไร่ หากมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะอย่างรุนแรง และมีอาการปวดน่อง ขอให้สงสัยอาจติดเชื้อไข้ฉี่หนู ให้รีบพบแพทย์เพื่อป้องกันการเสียชีวิต ซึ่งโรคนี้มียารักษาหาย โดยปีนี้ทั่วประเทศพบป่วยแล้ว 548 ราย เสียชีวิต 12 ราย

นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝน เกษตรกรเริ่มทำไร่ ทำนา มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคฉี่หนู หรือโรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) สูงกว่าฤดูกาลอื่น ในการเตรียมรับมือของกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านทั่วประเทศ ดำเนินการให้ความรู้ประชาชนในการป้องกันโรคดังกล่าวอย่างเต็มที่ เนื่องจากขณะนี้สามารถพบผู้ป่วยโรคฉี่หนูได้ทุกภาค และสั่งการให้โรงพยาบาลทุกแห่งดำเนินการตรวจคัดกรองและซักประวัติผู้ป่วยอย่างละเอียด โดยเฉพาะประวัติการเดินลุยน้ำย่ำโคลน เพื่อป้องกันการเสียชีวิต เนื่องจากโรคนี้มียารักษาหาย

นพ.สุพรรณกล่าวอีกว่า โรคฉี่หนูเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเชื้อดังกล่าวจะอยู่ในฉี่ของหนูเป็นส่วนใหญ่ ตัวเชื้อโรคจะมีลักษณะเป็นเกลียว แพร่ระบาดในแหล่งน้ำได้รวดเร็ว โดยเชื้อจะมีชีวิตอยู่ในน้ำได้นานไม่น้อยกว่า 3 สัปดาห์ สามารถเข้าสู่ร่างกายคน โดยไชผ่านทางผิวหนังที่แช่น้ำเป็นเวลานาน หรือไชผ่านเยื่อบุตา ทางบาดแผล แม้กระทั่งรอยขีดข่วน เมื่อเข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว

“อาการของโรคฉี่หนูที่พบได้บ่อย คือ มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ตาแดง คลื่นไส้อาเจียน ขอให้สงสัยว่าอาจป่วยเป็นโรคฉี่หนู อาการที่เป็นลักษณะค่อนข้างเฉพาะของโรคนี้คืออาการปวดที่กล้ามเนื้อบริเวณน่อง พบได้ประมาณร้อยละ 40-100 ของผู้ป่วย หากประชาชนมีอาการดังกล่าว ขอให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรงที่ทำให้เสียชีวิตได้ เช่น ตับวาย ไตวาย ทั้งนี้โรคนี้หลังรักษาหายแล้วอาจสามารถติดเชื้อและป่วยซ้ำอีกได้ ในปี 2554 นี้ ทั่วประเทศพบผู้ป่วยโรคฉี่หนู 548 ราย กระจายทุกภาค เสียชีวิต 12 ราย ส่วนใหญ่พบในวัยแรงงานอายุ 25-54 ปี” นพ.สุพรรณกล่าว

ที่มา : http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000060162

Update : 18 พ.ค. 2554

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

























5 วิธีป้องกันสมองเสื่อมก่อนวัยอันควร โดย ดร.แพง ชินพงศ์

สมองเป็นอวัยวะหนึ่งในร่างกายของคนเราที่มีความสำคัญมาก เปรียบเหมือนกองบัญชาการควบคุมระบบต่าง ๆ ในร่างกายมากมายหลายระบบ ทั้งระบบความคิด ความจำ อารมณ์ พฤติกรรม และรักษาความสมดุลของระบบภายในร่างกาย เช่น ความดันโลหิต การเต้นของหัวใจ ตลอดจนการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย สมองของคนเรามีการพัฒนาตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา งานวิจัยทางการแพทย์ระบุว่า เซลล์ของระบบประสาทสมองจะเพิ่มขึ้นถึง 200,000-300,000 เซลล์ในทุก ๆ นาที จนถึงเวลาที่เด็กคลอดออกมาจากครรภ์มารดาเด็กก็จะมีเซลล์สมองเกือบจะสมบูรณ์เหมือนกับวัยผู้ใหญ่เลยทีเดียว ซึ่งได้ประมาณไว้ว่าเมื่อเด็กอายุได้ 2 - 3 ขวบ สมองของเขาจะมีขนาดประมาณ 80% ของผู้ใหญ่แ ต่เป็นธรรมดาที่เมื่อสมองมีการเจริญเติบโตแล้วก็ต้องมีเวลาที่สมองนั้นจะเข้าสู่ภาวะที่เสื่อมถอย ซึ่งจากงานวิจัยของ ศาสตราจารย์ทิโมธี ซอล์ตเฮาส์ จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่าสมองมนุษย์จะเริ่มเสื่อมเมื่ออายุ 27 ปี หลังจากพัฒนาถึงจุดสูงสุดเมื่ออายุ 22 ปี ดังนั้น คนเราจึงเกิดความวิตก และพยายามหาวิธีการต่าง ๆ นานามาช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง วันนี้ผู้เขียนจึงขอหยิบยกวิธีป้องกันสมองไม่ให้เสื่อมก่อนวัยอันควรมานำเสนอ ดังนี้
  1. อาหารบำรุงสมอง  ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการแพทย์ทางเลือกหลายคนให้แนะนำเกี่ยวกับเรื่องอาหารบำรุงสมองไว้หลายอย่าง เช่น ผัก ผลไม้ น้ำมันปลา เนื้อปลา และควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 3 - 5 ลิตร เพราะการดื่มน้ำน้อยจะทำให้ร่างกายขาดน้ำซึ่งจะส่งผลต่อสมองโดยทำให้สมองทำงานเฉื่อยช้าลง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงเหล้า บุหรี่และสารเสพติดต่าง ๆ เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นตัวการสำคัญในการทำลายสมองให้เสื่อมเร็วมากขึ้น
  2. การออกกำลังช่วยให้สมองแข็งแรง   การออกกำลังกายนอกจากจะทำให้กล้ามเนื้อของร่างกายแข็งแรงแล้วยังเปรียบเหมือนยาขนานเอกในการบำรุงสมองอีกด้วย การส่งเสริมให้เด็กออกกำลังกาย เช่น เดิน วิ่ง กระโดด ว่ายน้ำ จะมีผลดีต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก    ดร.ชาร์ล ฮิลแมน และคณะแห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ได้ทำการทดลองโดยให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาจำนวน 259 คน ออกกำลังกายแล้วตรวจสอบว่าความแข็งแรงของร่างกายมีความสัมพันธ์กับผลการสอบวิชาคณิตศาสตร์และวิชาอ่านอังกฤษหรือไม่ ปรากฏว่า เด็กนักเรียนที่มีร่างกายแข็งแรงมีคะแนนดี ดังนั้น ความแข็งแรงของร่างกายจึงสัมพันธ์กับสมองที่ฉลาดขึ้น    นอกจากนี้มีการทดลองกับผู้สูงอายุวัย 60-70 ปีโดยการสแกนสมองพบว่าการออกกำลังกาย เช่นเดินเร็วหรือแอโรบิคสามารถเสริมสร้างสมองส่วนหน้า (frontal lobe) ให้มีปริมาตรมากขึ้น จึงทำให้การทำงานของสมองดีขึ้น จึงส่งผลดีในเรื่องเกี่ยวกับการตัดสินใจ การบริหารจัดการ การวางแผน การทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน รวมถึงสามารถตอบคำถามถูกต้องมากขึ้นและเร็วขึ้นด้วย
  3. พักผ่อนให้สมองผ่อนคลาย  เวลาที่เราเกิดความเครียดจะทำให้เกิดฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในร่างกายคนเราคือฮอร์โมนเครียดชื่อคอร์ติซอล ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อร่างกายโดยเฉพาะสมอง มีผลทำให้ระบบความคิดของสมองตีบตัน และความจำเสื่อมได้ ดังนั้นถ้าเราต้องพบกับเรื่องที่ทำให้เกิดความเครียดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียน เรื่องการงาน ปัญหาครอบครัวหรือปัญหาใดก็ตามแต่ สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดคือ เราต้องหาเวลาส่วนตัวในการพักผ่อนเพื่อให้สมองได้รับการผ่อนคลาย เช่น การนอนอยู่กับบ้าน การไปท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ การได้อยู่กับธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นทะเล ป่าเขาลำเนาไพร หรือการไปดูหนังฟังเพลง จะทำให้สมองมีความสุขได้รับการผ่อนคลาย เมื่อสมองผ่อนคลาย ร่างกายก็จะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้มีอารมณ์เบิกบาน มีความสุขและส่งผลให้สมองแจ่มใส พร้อมเปิดรับการเรียนรู้ใหม่ ๆ ได้เป็นอย่างดี
  4. ให้สมองเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ  การทำสิ่งที่จำเจซ้ำซากอยู่ทุกวันทุกคืน มีผลทำให้สมองฝ่อเร็ว แต่การเปิดโอกาสให้สมองได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จะเป็นการช่วยฝึกให้สมองได้ออกกำลัง เช่น การเปลี่ยนเส้นทางการขับรถใหม่ การอ่านหนังสือเล่มใหม่ การไปยังสถานที่แปลกใหม่ การทำกิจกรรมที่ไม่เคยทำมาก่อน เช่น ไปเรียนดนตรี ไปเรียนจัดดอกไม้ ไปเรียนทำขนม เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ สมองจะหลั่งสารโดปามีน และสารเอ็นโดฟิน ซึ่งทำให้สมองเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข ทำให้สมองแข็งแรงและเสื่อมช้าลง
  5. เซ็กซ์สร้างความสดชื่นให้สมอง  เราคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเซ็กซ์เป็นกิจกรรมที่สร้างความตื่นเต้นและความสุขให้แก่คู่รัก มีงานวิจัยที่ยืนยันว่าเซ็กซ์ในผู้สูงอายุช่วยกระตุ้นให้สมองเสื่อมช้าลง ดังนั้น การมีเซ็กซ์ที่ดีกับคู่รักหรือคู่สมรสนับเป็นกิจกรรมที่เป็นการออกกำลังสมองได้ดีมาก เพราะเป็นกิจกรรมที่สร้างสุข ท้าทาย ตื่นเต้น ใช้จินตนาการและมีการเคลื่อนไหวของทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งทำให้วงจรของสมองทุกระบบมีการกระตุ้นให้เกิดการรับรู้และเรียนรู้ได้ดี นอกจากนี้การที่คู่รักปรับเปลี่ยนกิจกรรมทางเพศให้มีความแปลกใหม่น่าตื่นเต้นอยู่เสมอ เช่น สร้างบรรยากาศด้วยการเปิดเพลง การนวดสัมผัสกันด้วยน้ำหอม การเปลี่ยนสถานที่มีเซ็กซ์ ก็จะสร้างความสุขได้มากขึ้นด้วย
ทุกข้อทุกประการที่กล่าวมาข้างต้น เป็นวิธีง่าย ๆ ที่เชื่อว่าสามารถช่วยป้องกันไม่ให้สมองของเราเสื่อมก่อนวัยอันควร ดูแลสมองของเราวันละนิดรับรองว่าจะช่วยยืดเวลาแห่งความสุขของเราไปได้อีกยาวนาน

ที่มา : http://www.manager.co.th/
update : 11 พ.ค. 2554

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554












วัสดุกัมมันตรังสีเป็นวัตถุอันตรายประเภทหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากวัตถุประเภทสารเคมีหรือวัสดุอันตรายประเภทอื่นคือไม่มีสี ไม่มีกลิ่น จึงไม่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตา การตรวจสอบจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะในการตรวจสอบ  ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมัสัญลักษณ์หรือป้ายเตือนติดไว้ที่ตัววัสดุกัมมันตรังสีหรือบริเวณที่มีการใช้งานวัสดุกัมมันตรังสี  เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นกับประชาชน  โดยทั่วไปเราสามารถจำแนกป้ายเตือนทางรังสีตามลักษณะการใช้งานออกเป็น ดังนี้
  • ป้ายเตือนที่ติดอยูกับวัสดุกัมมันตรังสี  ป้ายเตือนดงกล่าวจะเป็นป้ายที่ติดอยู่กับวัสดุกัมมันตรังสีหรือเครื่องกำบังรังสีที่ใช้ป้องกันอันตรายจากรังสี  ส่วนใหญ่จะมีคำเตือนว่า โปรดระวัง วัสดุกัมมันตรังสี เป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาท้องถิ่น ตามประเทศที่ผลิตวัสดุดังกล่าว  โดยระบุชนิดของวัสดุกัมมันตรังสี ความรุนแรงหรือปริมาณของวัสดุกัมมันตรังสี และปีที่ทำการผลิตหรือทำการปรับเทียบความรุนแรงของวัสดุกัมมันตรังสี
  • ป้ายเตือนบริเวณที่มีการใช้งานวัสดุกัมมันตรังสีและห้องปฏิบัติการทางรังสี   ป้ายเตือนดังกล่าวเป็นป้ายเตือนให้ผู้ที่ปฏิบัติงานทราบว่าบริเวณดังกล่าวมีการใช้งานวัสดุกัมมันตรังสีหรือเครื่องกำเนิดรังสี  หรือมีระดับรังสีสูงกว่าค่าในธรรมชาติ หรือเป็นสถานที่จัดเก็บวัสดุกัมมันตรังสีโดยขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน  ปกติบริเวณดังกล่าวจะมีคำเตือนห้ามมิให้ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าไปในบริเวณฯ ที่กำหนด หรือต้องปฏิบัติตัวตามข้อกำหนดต่าง ๆ เป็นพิเศษ
  • ป้ายขนส่งวัสดุกัมมันตรังสี  โดยปกติการขนส่งวัสดุกัมมันตรังสีจะต้องทำการขนส่งในหีบห่อที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลและสอดคล้องกับกฎระเบียบของทบวงการปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) โดยหีบห่อทุกชนิด (ยกเว้นแบบ Excepted) จะต้องติดป้ายเตือนอย่างน้อยสองด้านของหีบห่อและต้องบอกอัตราระดับรังสีที่พื้นผิวและที่ระยะ 1 เมตร 
ป้ายเตือนทางรังสีแบบใหม่

จากปัญหาการสื่อความหมายของป้ายเตือนวัสดุกัมมันตรังสีเป็นสัญลักษณ์ใบพัดสามแฉก  ซึ่งมีความหมายไม่ชัดเจนและรับรู้เฉพาะบุคคลที่มีการศึกษาหรือมีการปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับรังสีเท่านั้น  ทบวงปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ร่วมกับองค์กรมาตรฐานสากลระหว่างประเทศ The International Organization for Standardization (ISO)  จึงำเสนอสัญญลักษณ์ใหม่ในการเตือนอันตรายจากรังสีโดยเป็นสัญลักษณ์ การแผ่รังสี หัวกะโหลกไข้ว และคนวิ่งหนี เพื่อให้เกิดการยอมรับในระดับสากลแทนสัญลักษณ์ในพัดสามแฉก  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดอัตราการตายและลดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรังสีจากวัตถุกัมมันตรังสีความแรงสูง  คาดว่าจะนำมาใช้กับวัสดุกัมมันตรังสีในกลุ่มที่ 1, 2 และ 3 ได้แก่
  1. เครื่องฉายรังสี (irradiators)
  2. เครื่องรังสีรักษา (teletherapy machines)
  3. เครื่องถ่ายภาพดัวยรังสี (industrial radiography units)
โดยติดไว้กับตัวภาชนะบรรจุวัสดุกัมมันตรังสีหรือบริเวณใกล้เคียง  โดยสัญลักษณ์ดังกล่าวจะเป็นป้ายติดเพิ่มจากป้ายเตือนทางรังสีแบบเดิม


ที่มาข้อมูล :  http: // http://www.oaep.go.th/ / http://www.manager.co.th/
update : 26/04/2554

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

การเอาตัวรอดจากการจมน้ำและการป้องกันอุบัติภัยทางน้ำ โดย เอมอร คชเสนี


ในตอนที่แล้วได้กล่าวถึงการช่วยเหลือคนตกน้ำ-จมน้ำ ตลอดจนวิธีปฐมพยาบาลกันไปแล้ว แต่หากตัวเรากลายเป็นผู้ประสบภัยเสียเองและว่ายน้ำไม่เป็น เราจะเอาชีวิตรอดจากการจมน้ำได้อย่างไร วันนี้มาติดตามกันต่อ พร้อมทั้งวิธีการป้องกันอุบัติภัยทางน้ำด้วยค่ะ

โดยธรรมชาติแล้ว ร่างกายของคนเรานั้นลอยน้ำได้ถ้าในปอดมีอากาศ แต่เหตุที่คนจมน้ำก็เพราะความตื่นตระหนกตกใจกลัวจะจมน้ำตาย จึงพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด ตะเกียกตะกายดันตัวเองให้ลอยอยู่ที่ผิวน้ำเพื่อที่จะหายใจ ซึ่งกลับเป็นการเร่งให้จมน้ำเร็วขึ้น เพราะไม่นานก็จะหมดแรง และยิ่งส่วนของร่างกายโผล่พ้นน้ำขึ้นมามากเท่าไร ก็จะยิ่งมีน้ำหนักกดลงให้จมน้ำมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

วิธีการเอาตัวรอดจากการจมน้ำที่ถูกต้อง ก็คือการลอยตัวอยู่นิ่งๆ พยายามลอยอยู่ที่ผิวน้ำโดยใช้กำลังให้น้อยที่สุด จะได้ไม่เหนื่อย ไม่หมดแรง เมื่อหายใจเอาอากาศเข้าไปในปอด ปอดก็จะเป็นเสมือนชูชีพพยุงเราไว้ไม่ให้จมน้ำ

ทุกคนสามารถลอยตัวในน้ำได้ เพราะความหนาแน่นของร่างกายมีน้อยกว่าน้ำ การที่บางคนไม่สามารถลอยตัวได้ ก็เป็นเพราะมีการเกร็งส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย สำหรับบางคนอาจมีกระดูกและกล้ามเนื้อใหญ่ มีน้ำหนักมาก ทำให้ลอยตัวลำบากกว่าปกติ ช่วงขาอาจจะจมน้ำ แต่ให้ช่วงอกลอยไว้ก็แล้วกัน

การลอยตัวมี 2 แบบ คือจะนอนหงายให้ปากและจมูกโผล่พ้นน้ำเพื่อหายใจก็ได้ หรือนอนคว่ำลำตัวลอยปริ่มน้ำและเงยหน้าขึ้นมาหายใจก็ได้ การลอยหงายจะเก็บแรงได้มากกว่า บางคนอาจลอยได้ทั้งวัน แต่หากมีคลื่นลมแรงอาจต้องเปลี่ยนเป็นลอยคว่ำ ซึ่งจะปลอดภัยกว่า

กรณีที่ตัวเราเองเป็นผู้ประสบภัยทางน้ำ ไม่สามารถว่ายน้ำเข้าฝั่งได้ ในขณะที่รอความช่วยเหลืออยู่นั้น ประการแรกควรตั้งสติให้ดี อย่าตื่นตระหนก พยายามปลดเปลื้องเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับที่หนาหนักออกไป เพราะจะพาให้เราจมน้ำเร็วยิ่งขึ้น

อยู่ในท่านอนหงาย ให้ใบหน้าพ้นน้ำไว้ ปล่อยตัวตามธรรมชาติ ที่สำคัญคืออย่าเกร็งตัว หายใจเอาอากาศเข้าปอด ถีบขาคล้ายๆ ท่ากบ และใช้มือพุ้ยน้ำเบาๆ จะช่วยให้ลอยตัวอยู่ในน้ำและเคลื่อนที่ไปได้

อีกวิธีหนึ่งคือการลอยตัวอยู่กับที่ โดยใช้แขนกดลงน้ำแล้วกวาดออก ดึงแขนกลับมาแล้วกดลงน้ำซ้ำอีก ลักษณะคล้ายๆ วาดเลขแปดในน้ำ ทำซ้ำไปเรื่อยๆ ถีบขาเบาๆ คล้ายท่ากบ ไม่ต้องพับเข่าเข้ามามากนัก พยายามให้ศีรษะอยู่พ้นน้ำไว้ ท่านี้จะสามารถใช้มือโบกขอความช่วยเหลือได้

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กล่าวมาเป็นเพียงคำแนะนำเบื้องต้น ซึ่งหากตกอยู่ในสถานการณ์จริงอาจจะทำได้ยาก การที่จะทำความเข้าใจหรือปฏิบัติได้จริงดังที่กล่าวมา ควรจะได้รับการฝึกสอน แต่การเรียนการสอนว่ายน้ำในบ้านเราส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ทักษะการว่ายน้ำ 4 ท่ามาตรฐาน ทำให้เราเข้าใจผิดว่าเราว่ายน้ำเป็นแล้วและไม่จมน้ำแล้ว ทั้งที่จริงควรเรียนรู้ทั้งเรื่องความปลอดภัยทางน้ำ การเอาชีวิตรอดจากอุบัติภัยทางน้ำ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ำ รวมทั้งการปฐมพยาบาล การกู้ชีพด้วยการผายปอดและนวดหัวใจ
 
สำหรับการป้องกันอุบัติภัยทางน้ำนั้น ทำได้โดย

- สำรวจบริเวณบ้านและใกล้บ้านว่ามีจุดเสี่ยง เช่น คูหรือรางระบายน้ำ บ่อน้ำ หรือแหล่งน้ำที่น่าจะมีอันตรายอยู่ตรงไหนบ้าง

- หาทางป้องกันอุบัติภัยทางน้ำ เช่น ทำรั้วรอบสระว่ายน้ำหรือแหล่งน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเข้าไปเล่นคนเดียว

- อย่าปล่อยให้เด็กว่ายน้ำหรืออยู่ใกล้แหล่งน้ำตามลำพัง หากมีสระน้ำอยู่ใกล้ๆ แล้วเด็กหายไป ให้รีบไปดูที่สระน้ำก่อน

- อย่าปล่อยให้เด็กเล็กเล่นน้ำในอ่างคนเดียวแม้เพียงชั่วครู่ก็ตาม เด็กเล็กๆ สามารถจมน้ำในอ่างได้แม้น้ำจะมีความสูงแค่ไม่กี่นิ้ว เพียงแค่จุ่มหัวหรือคว่ำหน้าลงไปในน้ำเท่านั้น ก็จมน้ำเสียชีวิตได้แล้ว

- แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเล่นน้ำตามลำพังหรือดำน้ำลึกๆ ในที่ที่ไม่คุ้นเคย และไม่ควรเล่นน้ำในที่ลึกๆ หากร่างกายไม่สมบูรณ์หรือเป็นตะคริวง่าย

- หากเป็นโรคลมชัก ควรระมัดระวังหากอยู่ใกล้แหล่งน้ำ และไม่ควรลงเล่นน้ำ

- ไม่ควรเล่นน้ำในระยะเวลา 1 ชั่วโมงหลังจากเพิ่งรับประทานอาหาร

- อย่าดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ระหว่างว่ายน้ำหรืออยู่บนเรือ และไม่ควรเล่นน้ำเมื่อรู้สึกมึนเมา แม้จะมีอาการเพียงเล็กน้อย

- หากจะว่ายข้ามแม่น้ำหรือว่ายไปยังเรือที่จอดอยู่ ให้ระมัดระวังให้มาก เพราะเรือที่จอดหรือฝั่งตรงข้าม จะอยู่ไกลกว่าที่คิดหรือที่มองเห็น โดยเฉพาะในน้ำที่ค่อนข้างเย็น จะทำให้เหนื่อยง่ายขึ้น

- หากเล่นน้ำในทะเล ควรว่ายขนานไปกับฝั่งจะปลอดภัยกว่าว่ายออกจากฝั่ง ขณะว่ายก็ควรมองฝั่งเป็นครั้งคราว เพราะอาจถูกกระแสน้ำพัดออกนอกฝั่งได้ หากจะว่ายน้ำออกจากฝั่ง ควรมีเพื่อนไปด้วย หรือมีเรือตามไปด้วย

- เมื่อเดินทางทางน้ำ รอให้เรือจอดเทียบท่าให้เรียบร้อย จึงค่อยก้าวขึ้น-ลง

- มองหาชูชีพทุกครั้งเมื่ออยู่บนเรือและเรียนรู้วิธีการใช้ สำหรับเด็กเล็กควรใส่เสื้อชูชีพทุกครั้งที่ลงเรือ

- อ่านกฎระเบียบของสถานที่ท่องเที่ยว และปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด

- และอย่าลืมหัดว่ายน้ำ

ที่มา : http://www.manager.co.th/
update : 20/04/2011
การช่วยเหลือคนตกน้ำ และวิธีปฐมพยาบาล / เอมอร คชเสนี


 

อุบัติเหตุทางน้ำเกิดขึ้นได้ง่ายในบ้านเรา เพราะมีวิถีชีวิตคุ้นเคยอยู่กับแม่น้ำลำคลอง การเรียนรู้วิธีการช่วยเหลือคนตกน้ำหรือจมน้ำจึงเป็นสิ่งสำคัญ ต้องช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนจึงจะช่วยคนตกน้ำได้ทันเวลา ยิ่งช่วยขึ้นมาจากน้ำได้เร็วเท่าไร โอกาสที่จะรอดชีวิตก็มีมากขึ้นเท่านั้น

แต่การช่วยคนตกน้ำนั้นต้องช่วยเหลือด้วยวิธีการที่ถูกต้อง หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นต้องมีสติ อย่าผลีผลาม เพื่อไม่ให้คนช่วยถูกดึงจมน้ำไปด้วยอีกคน เพราะความตกใจของคนที่กำลังจะจมน้ำ จะพยายามไขว่คว้าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัว หากผู้ที่เข้าไปช่วยว่ายน้ำไม่แข็งและไม่รู้วิธี ก็จะจมน้ำไปด้วย

การพูดให้คนที่ตกน้ำมีสติ บอกเขาว่าเรากำลังจะช่วย จะช่วยคลายความตื่นตระหนก ทำให้การช่วยเหลือทำได้ง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น บอกให้เขาพยายามช่วยเหลือตนเองด้วย โดยปลดเครื่องแต่งกายหรือเครื่องประดับที่มีน้ำหนักมากหรือเป็นอุปสรรคในการลอยตัวออกไป และพยายามพยุงตัวไว้

การช่วยเหลือคนตกน้ำอย่างถูกต้องมีหลายวิธี ได้แก่

วิธีนี้ผู้ช่วยเหลือและคนที่ตกน้ำจะต้องอยู่ไม่ไกลกัน สามารถยื่นอุปกรณ์ให้เขาจับ เช่น เสื้อ กางเกง ผ้าขาวม้า ผ้าเช็ดตัว เข็มขัด กระเป๋าสะพาย ท่อนไม้ หรือสิ่งของใกล้ตัวอื่นๆ ถ้าหาอะไรไม่ได้ก็ใช้มือหรือขาของคุณแทนก็ได้ แต่ต้องระวังอย่าให้เขาดึงคุณตกน้ำไปด้วยอีกคน ควรหาหลักยึดหรือใช้มืออีกข้างเหนี่ยวฝั่งไว้ให้มั่นคง หรือจับมือกับคนอื่นเพื่อเพิ่มระยะให้คุณเอื้อมลงไปถึงคนที่ตกน้ำ

หากไม่สามารถหาวัตถุที่ยาวพอได้ หรือหากผู้ที่ตกน้ำอยู่ไกลจนเอื้อมไม่ถึง ตัวคุณเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น วิธีการช่วยเหลือคือโยนของให้เขาเกาะ โดยกะระยะและทิศทางให้ใกล้คนที่ตกน้ำมากที่สุด วัตถุนั้นต้องมีคุณสมบัติเบา ลอยน้ำ แต่แข็งแรงพอที่จะพยุงตัวเขาไว้ได้ เช่น ห่วงชูชีพ ยางในรถยนต์ ถังพลาสติกปิดฝา ขอนไม้ ลูกมะพร้าว ลูกบอล โดยใช้เชือกผูกวัตถุนั้นเอาไว้เพื่อดึงเขากลับเข้าฝั่ง

การช่วยเหลือโดยอยู่บนเรือ

หากคุณอยู่บนเรือหรือมีเรืออยู่แถวนั้น ก็สามารถใช้เรือพายหรือเรือยนต์เข้าไปช่วยได้ หากเป็นเรือเล็กควรดึงผู้ที่ตกน้ำขึ้นมาทางด้านหัวเรือแทนที่จะเป็นกราบเรือ เพื่อไม่ให้เรือพลิกคว่ำ การดึงขึ้นทางหัวเรือที่มีความสูงมากกว่ากราบเรือนั้น ให้นอนราบลงแล้วใช้เท้าขัดกับที่นั่งเอาไว้ จากนั้นโน้มตัวให้ศีรษะและไหล่ทาบอยู่บนหัวเรือ จับข้อมือของคนตกน้ำเอาไว้ บอกให้เขาจับข้อมือของคุณเอาไว้ด้วยเช่นกัน แล้วออกแรงดึงเขาขึ้นมา แต่การช่วยเหลือแบบนี้ไม่เหมาะกับในทะเลที่มีคลื่นลมแรง เพราะอาจพลัดตกน้ำไปด้วยกัน

การช่วยเหลือจากบนบกด้วยการโยนอุปกรณ์


การช่วยเหลือโดยผู้ช่วยเหลือต้องลงไปในน้ำ

กรณีที่น้ำตื้นยืนถึง แต่คนที่ตกน้ำเป็นเด็กหรือตัวเตี้ยเท้าหยั่งไม่ถึง ผู้ช่วยเหลือสามารถลุยน้ำออกไปช่วยได้ ควรถอดเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับที่เป็นตัวถ่วงออกก่อน หรืออาจใช้คนหลายคนเกี่ยวแขนต่อกัน แล้วเอื้อมมือไปดึงคนตกน้ำขึ้นมา

กรณีที่น้ำลึก และคนที่ตกน้ำอยู่ไกล วิธีการช่วยเหลือก็คือ ว่ายน้ำออกไปและใช้วัตถุที่ลอยน้ำได้เป็นตัวช่วย เช่น ห่วงยาง ยางในรถยนต์ ถังน้ำมันเก่า ขอนไม้ เมื่อว่ายน้ำเข้าไปจวนจะถึงตัวคนที่ตกน้ำ ให้หยุดอยู่ห่างๆ แล้วยื่นหรือโยนอุปกรณ์ให้เขาเกาะ แล้วจึงไปลากเขาเข้ามา

วิธีนี้ให้ใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย และต้องระมัดระวังอย่างมาก ผู้ช่วยเหลือจะต้องว่ายน้ำแข็ง ร่างกายแข็งแรง และมีประสบการณ์หรือผ่านการอบรมวิธีช่วยเหลือคนตกน้ำหรือจมน้ำมาแล้ว เพราะคนที่ตกน้ำจะตกใจกลัว เมื่อมีอะไรที่จะทำให้รอดชีวิตก็จะเกาะแน่นไม่ยอมปล่อย หลายครั้งที่ผู้ช่วยเหลือต้องเสียชีวิตเพราะถูกกดจมน้ำไปด้วยกัน

การช่วยเหลือต้องเข้าทางด้านหลังของคนที่ตกน้ำเสมอ หากเขาโผเข้ามาจะกอดเรา ให้ดำน้ำหนีก่อน และเพื่อความปลอดภัยควรมีคนอื่นอยู่แถวนั้นด้วย จะได้ช่วยคุณอีกแรงหากเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้น หากผู้ที่จมน้ำว่ายน้ำเป็น แต่แค่หมดแรงหรือเป็นตะคริว และไม่ตื่นตกใจ การช่วยเหลือจะทำได้ง่ายและไม่ค่อยมีอันตราย

ส่วนการช่วยคนจมน้ำที่ตื่นตระหนกตกใจ จะต้องใช้ท่ากอดไขว้หน้าอก (Cross Chest) โดยผู้ช่วยเหลือเข้าทางด้านหลังของผู้จมน้ำ เอารักแร้เราหนีบบนบ่าเขา แขนพาดผ่านหน้าอกไปจับซอกรักแร้อีกด้าน อีกวิธีคือใช้มือข้างหนึ่งจับผมของผู้จมน้ำไว้ให้แน่น แล้วว่ายน้ำด้วยท่า Side Stroke คือใช้มืออีกข้างพุ้ยน้ำ และถีบเท้าทั้งสองเพื่อให้ลอยตัวและเคลื่อนที่ไป ซึ่งเป็นท่าที่เหนื่อย หนักแรง และมีอันตรายมาก หากผู้จมน้ำหมดสติ ต้องประคองใบหน้าให้ปากและจมูกพ้นน้ำ เพื่อให้หายใจได้ อีกวิธีคือผู้ช่วยเหลือเข้าทางด้านหลังของผู้จมน้ำ ใช้มือทั้งสองข้างจับขากรรไกรของเขา โดยให้ใบหน้าของเขาลอยเหนือผิวน้ำ แล้วใช้เท้าถีบเพื่อลอยตัวและเคลื่อนที่ไป

หากจมน้ำเนื่องจากการกระโดดน้ำหรือเล่นกระดานโต้คลื่น อาจมีกระดูกหัก ให้เคลื่อนย้ายผู้จมน้ำด้วยความระมัดระวัง โดยเมื่อนำผู้จมน้ำมาถึงบริเวณน้ำตื้นพอที่ผู้ช่วยเหลือจะยืนได้สะดวกแล้ว ให้ใช้ไม้กระดานสอดใต้น้ำรองรับตัวผู้จมน้ำ แล้วใช้ผ้ารัดตัวให้ติดกับไม้ไว้

สิ่งสำคัญอีกประการที่ผู้ช่วยเหลือจะต้องมีความรู้ ก็คือการปฐมพยาบาลคนจมน้ำก่อนนำส่งแพทย์ โดยหากหยุดหายใจ คลำชีพจรไม่ได้ หรือหัวใจหยุดเต้น ให้ทำการกู้ชีพทันที โดยการนวดหัวใจสลับกับการเป่าปาก จัดท่าให้คนจมน้ำนอนศีรษะต่ำ ปลายเท้าสูงเล็กน้อย

การเอาน้ำออกจากปอดและกระเพาะโดยแบกร่างคนจมน้ำพาดบ่าแล้วเขย่าหรือวิ่งไปนั้น ไม่ช่วยให้ดีขึ้น เสียเวลา ไม่ทันการณ์ และไม่ได้ผล หากเป็นไปได้ควรลงมือกู้ชีพตั้งแต่ก่อนขึ้นฝั่ง เช่น พาขึ้นบนเรือ หรือพาเข้าที่ตื้นๆ หากรู้สึกว่าลมเข้าปอดได้ไม่เต็มที่เนื่องจากมีน้ำอยู่เต็มท้อง ให้จับผู้ป่วยนอนคว่ำ ใช้มือทั้งสองข้างสอดใต้ท้องผู้ป่วย แล้วยกขึ้นและลง หรือจัดท่าให้นอนตะแคง แล้วกดท้องดันมาทางยอดอก วิธีนี้จะช่วยไล่น้ำให้ไหลออกมาได้ แต่ก็ไม่ควรเสียเวลามากนัก จากนั้นจับผู้ป่วยพลิกหงายและกู้ชีพต่อไป

หากผู้ป่วยยังหายใจเองได้ หรือช่วยเหลือจนหายใจได้แล้ว ควรจับผู้ป่วยนอนตะแคงข้าง เชยคางให้ศีรษะเงยขึ้นเพื่อให้น้ำไหลออกทางปาก ใช้ผ้าห่มคลุมตัวผู้ป่วยเพื่อให้ความอบอุ่นป้องกันอาการช็อค อย่าให้รับประทานอาหารและดื่มน้ำ จากนั้นนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลไม่ว่าจะมีอาการมากน้อยเพียงใด ในรายที่หมดสติและหยุดหายใจ ให้กู้ชีพไปตลอดทาง อย่าหยุดให้การช่วยเหลือ


ที่มา : www.manager.co.th
update : 20/04/2011                                     

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2554

ความปลอดภัยบนท้องถนน ทำอย่างไร? ไม่ใช่แค่เทศกาล

ความปลอดภัยบนท้องถนน ทำอย่างไร? ไม่ใช่แค่เทศกาล

“สงกรานต์” เทศกาลวันปีใหม่ไทย เวียนกลับมาอีกครั้งในทุกๆ ปี และเช่นเดียวกันมีสิ่งที่กลายเป็นเงาติดตามช่วงเทศกาลไปเสียแล้ว นั่นคือ… การรณรงค์ลดอุบัติเหตุบนท้องถนนของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นมกราคมวันขึ้นปีใหม่ฝรั่ง หรือของไทยงานสงกรานต์เดือนเมษายน เพราะในช่วงเทศกาลมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนท้องถนน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ถือว่าร้ายแรงกว่าภัยพิบัติต่างๆ เสียอีก เช่น อุบัติเหตุสงกรานต์เมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิต 361 ราย และบาดเจ็บถึง 3,802 ราย ดังนั้นเมื่อถึงช่วงงานสงกรานต์ หรือเทศกาลปีใหม่เวียนกลับมาในแต่ละปี ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงพากันโหมประโคมรณรงค์ลดอุบัติเหตุเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน จนกลายเป็นประเพณีไปแล้ว ทั้งที่อุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นแทบทุกวัน และสถิติอยู่ในระดับสูงมากเช่นกัน

 ฉะนั้น การรณรงค์หรือป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนน ทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน ประชาชน หรือองค์กรใดๆ ก็ตาม ต้องใส่ใจและให้ความสำคัญตลอดเวลา โดยทำอย่างไร?... ที่จะเกิดความปลอดภัยบนท้องถนนทุกวัน ไม่ใช่เฉพาะแค่ช่วงงานเทศกาลปีใหม่ หรือสงกรานต์เท่านั้น!

“ปัจจุบันไทยมีอุบัติเหตุบนท้องถนนมากถึงปีละ 1.2 หมื่นรายต่อปี เฉลี่ยวันละ 30 ราย หรือคิดเป็น 17.39 รายต่อประชากร 1 แสนคน ซึ่งหากเทียบกับมาตรฐานโลกถือว่าสูงมาก เพราะอย่างญี่ปุ่นหรือประเทศพัฒนาแล้ว และแม้แต่ในอาเซียนอย่างสิงคโปร์ เขามีอัตราตัวเลขหลักเดียวเท่านั้น”


“เมื่อ 4 ปีก่อน องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ประเมินความปลอดภัยบนท้องถนนของไทย ปรากฏว่าไทยสอบตกหมดทุกหมวด และมีความปลอดภัยบนท้องถนนอยู่อันดับที่ 106 จากการประเมินทั้งหมด 178 ประเทศทั่วโลก”

จากการประเมินของ WHO นับว่าไทยอยู่ในสภาวะที่มีความปลอดภัยบนท้องถนนน้อยอย่างยิ่ง โดยชยันต์ได้ให้รายละเอียดแต่ละหัวข้อในการประเมินว่า อันดับแรกเรื่องการ “ขับรถเร็ว” คะแนนเต็ม 10 WHO ให้ประเทศไทยได้แค่ 2 คะแนน นั่นหมายความว่าคนไทยขับรถเร็วอย่างยิ่ง ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วเขาจะเรียนและทำความเข้าใจหลักกลศาสตร์ว่า ความเร็วขนาดไหนถึงจะปลอดภัย อย่างความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันจะมีแรงขนาดไหนและควรจะเบรกระยะเท่าไหร่ โดยมีการเรียนและได้รับการทำความเข้าใจมาตั้งแต่ชั้นประถมเลย

ต่อมาเป็นเรื่อง “เมาแล้วขับ” ไทยได้ 5 คะแนน แต่ดูจากสถิติปัจจุบันจริงๆ และหากกรมป้องกันภัยฯ ประเมินจะให้ตัวเลขต่ำกว่านี้มาก เพราะเมาแล้วขับเป็นสาเหตุหลักอีกอย่าง ที่ทำให้เกิดอุบัติบนท้องถนนของไทย ส่วนเรื่องหมวกนิรภัยได้ 4 คะแนน คาดเข็มขัดนิรภัยประเทศไทยได้ 5 คะแนน

“ยิ่งกว่านั้นไทยได้ 0 คะแนน ในเรื่องที่นั่งนิรภัยเด็ก ซึ่งในประเทศไทยไม่ได้มีหรือให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้เลย แต่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา เขาเขียนเป็นกฎหมายบังคับออกมาเลย รวมถึงคนนั่งตอนหลังต้องคาดเข็มขัดนิรภัยด้วย”

อย่างไรก็ตาม ชยันต์บอกว่าประเทศไทยเห็นปัญหาเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน และถูกยกให้เป็นวาระสำคัญระดับชาติมาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน เพราะเมื่อปี 2546 - 22548 มีสถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงสุด 1.4 หมื่นรายต่อปี และเมื่อดำเนินการรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุมาต่อเนื่อง จนถึงแผนแม่บทปัจจุบัน 2552-2555 ลดลงเหลือ 1.2 หมื่นรายต่อปี หรือ 17.39 รายต่อประชาการ 1 แสนคน แต่นั่นยังไม่บรรลุเป้าหมายตามแผนที่จะต้องลดให้ได้ 14.15 ราย

“ล่าสุดมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 29 มิถุนายนของปีที่ผ่านมา ได้วางเป้าหมายลดอุบัติเหตุต่ำกว่า 10 คนต่อประชากร 1 แสนคัน โดยให้นำความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีฯ, คมนาคม, สาธารณสุข และสภาพัฒน์ไปพิจารณาดำเนินการ โดยเน้นให้มีการใช้รถสาธารณะมากขึ้น”

แม้จะพยายามให้เพิ่มการใช้รถสาธารณะมากขึ้น แต่อย่างที่รู้กันรถสาธารณะของไทย ยังมีปัญหาเรื่องระบบและความปลอดภัยบนทองถนนเช่นเดียวกัน มติครม. จึงให้มีการควบคุมดูแลรถสาธารณะด้วย โดยพิจารณาให้ติดตั้งระบบนำทาง GPS และให้คนขับรถสาธารณะทางไกลรายงานตัว โดยสแกนนิ้วมือ เพื่อควบคุมคนและการขับรถ

นอกจากนี้ สาเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน มาจากการเรื่องการใช้รถ และมากกว่า 70% มาจากรถจักรยานยนต์ ดังนั้นตามกรอบมติ ครม. ตามข้อเสนอของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เสนอให้พิจารณาลดอัตราสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน โดยเก็บภาษีรถจักรยานยนต์ในอัตราเหมาะสมตามขนาดเครื่องยนต์(CC) และกำหนดมาตรฐานการออกใบอนุญาตขับรถ หรือใบขับขี่ จะต้องมีการอบรมเป็นเวลา 15 ชั่วโมงก่อน รวมถึงบรรจุหลักสูตรการเรียนการสอนในสถานศึกษา พร้อมกับเพิ่มสัดส่วนการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น

ชยันต์กล่าวว่า ความปลอดภัยบนท้องถนนเป็นเรื่องระดับโลก เพราะปัจจุบันมีอุบัติเหตุบนท้องถนนปีละ 1.3 ล้านรายในทั่วโลก มากที่สุดจากอุบัติภัยทุกชนิด และคาดว่าอีก 10 ปีข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 1.9-2.0 ล้านรายต่อปี เหตุนี้สหประชาชาติ(UN) จึงเรียกร้องให้ทุกประเทศปฏิบัติป้องกันเพื่อลดเหลือเพียง 9 แสนรายต่อปี

โดยหลักปฏิบัติลดอุบัติเหตุของ UN มีจำนวน 5 ข้อ ได้แก่ สิ่งแรกการบริหารจัดการบนท้องถนน ซึ่งเป็นเรื่องของกฎหมายและระเบียบการใช้ถนน ต่อมาเป็นโครงสร้างพื้นฐาน ที่หมายถึงมาตรฐานถนนและการสัญจร และอีกข้อเป็นมาตรฐานยานพาหนะ คือเทคโนโลยีความปลอดภัยต่างๆ ของยานพาหนะ ข้อต่อมาเป็นพฤติกรรมการขับขี่ของประชาชนที่จะต้องบังคับ รณรงค์ และปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน และสุดท้ายกลไกช่วยเหลือกู้ชีพ หรือกู้ภัยอย่างไร? จึงจะเหมาะสม

“รูโหว่มากที่สุดจะเป็นการบริหารจัดการ โครงสร้างพื้นฐาน และพฤติกรรมของผู้ใช้รถ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ คือ มนุษย์ ถนนหรือโครงสร้างพื้นฐาน รถยนต์ และระบบบริหารจัดการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎระเบียบ และใบอนุญาตขับขี่ให้เข้มงวด เป็นต้น” ชยันต์กล่าวและว่า

“การผลักดันเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน จะต้องดำเนินงาน 2 ส่วน คือ สร้างจิตสำนึกของคน เพื่อให้ตระหนักถึงความปลอดภัย (Safety Culture) ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น อย่างคนญี่ปุ่นเขาจะระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุมาก อะไรที่เป็นอันตรายเขาจะไม่ทำหรือเข้าใกล้ และอีกส่วนเป็นเรื่องระบบหรือเทคโนโลยี ที่จะรองรับความผิดพลาดต่างๆ ของมนุษย์”

จากการประเมินของ WHO หรือหลักปฏิบัติของสหประชาชาติ ล้วนสะท้อนให้เห็นว่าสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน มาจากการกระทำหรือพฤติกรรมของมนุษย์เป็นสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับประสบการณ์ของผู้ที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยบนท้องถนน ไม่ว่าจะเป็นการบังคับใช้กฎหมายและดูแลคดี อย่าง “พ.ต.อ.ขิง แขวงวิเศษชัยชาญ” รองผู้บังคับการตำรวจจราจร (รอง บก.จร.) ได้สรุปสาเหตุของอุบัติเหตุบนท้องถนนว่า...

อันดับแรกมาจากความประมาท และขาดวินัย ทั้งในเรื่องของการขับรถเร็ว เมาแล้วขับ ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และไม่สวมหมวกกันน็อก สองผู้ใช้รถไร้ทักษะ แม้จะมีขับได้มีใบขับขี่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าขับรถเป็น คือขับรถเห็นแต่ข้างหน้า ไม่เห็นด้านข้างหรือหลัง นึกจะออกก็ออก จนเป็นสาเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุแก่ตนเองและผู้อื่น

ประการต่อมา ไร้สมรรถนะ ไม่ว่าจะเป็นสภาพรถยนต์ที่ยางโล้นไม่เกาะถนน เบรกไม่ดี หรือรถเสียศูนย์ รวมสภาพของผู้ขับขี่ที่เมาแล้วขับ อารมณ์หงุดหงิดก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ รวมถึงพวกที่กินยาและง่วงก็ยังดันทุรังขับอยู่ และอีกปัญหาของอุบัติเหตุ “ไม่รู้จักความเครียดของรถ” คือไม่รู้ว่ารถเข้าโค้งได้เท่าไหร่ หากเกินรถมันก็ต้องเครียดหลุดโค้ง เป็นต้น

“สิ่งเหล่านี้เราจะต้องพร้อมอย่าประมาท ผมเห็นเด็กอนุบาลร้องไห้ไม่ยอมซ้อนท้ายรถพ่อ เพราะไม่มีหมวกนิรภัย เห็นแล้วรู้สึกภูมิใจแทนอนาคตของชาติ แต่ผู้ใหญ่กลับไม่มีสำนึก แล้วยังจะมาเป็นฆาตกรบนท้องถนนอีก”

เป็นการสรุปจากประสบการณ์ของ พ.ต.ท.ขิง และยังฝากบอกว่า จะให้ภาครัฐดำเนินการอย่างเดียวย่อมไม่ได้ผล ต้องได้รับความร่วมมือกันทั้งจากประชาชน ภาคเอกชน ภาครัฐ รวมถึงสื่อมวลชน ถึงจะสร้างความปลอดภัยบนท้องถนนได้

และแน่นอนไม่ใช่เพียงลดการสูญเสียชีวิต การทุพพลภาพ และทรัพย์สินเท่านั้น เพราะจากสถิติผู้สูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน 1 ใน 3 เป็นกำลังหลักของครอบครัว และที่สำคัญอุบัติเหตุสูงสุด 70% มาจากรถจักรยานยนต์ ที่ล้วนเป็นวัยรุ่นและเยาวชน

ทั้งหมดล้วนเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาและสร้างชาติทั้งนั้น!!


ที่มา : www.manager.co.th
update : 12/04/11

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
























"ต้อหิน" ภัยมืดในดวงตา

สำหรับผู้ที่กำลังมีปัญหาด้านสายตา ไม่ว่าจะเป็น สายตาสั้น สายตายาว หรือผู้ที่มีพฤติกรรมชอบนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ และเพ่งมองจอนานๆ ครั้งละหลายชั่วโมง หรือผู้ที่ซื้อคอนแทกต์เลนส์มาใส่เอง โดยไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือมาตรวจกับจักษุแพทย์ก่อน และถ้าคุณมีอายุเลข 4 นำหน้า แล้วมีปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้องเป็นต้อหิน ขอให้พึงตระหนัก ว่า คุณคือหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง ของผู้ที่อาจจะเป็น “ต้อหิน” ...เป็นมหันตภัยร้ายให้คุณก้าวสู่ “โลกมืด” ได้ ถ้าไม่มาพบจักษุแพทย์เสียแต่เนิ่นๆ

นพ.บุญส่ง วนิชเวชารุ่งเรือง จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยาและต้อหิน โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า ในความเป็นจริงแล้ว โรคต้อหินพบได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ แต่ที่พบมากจะเป็นกลุ่มอายุมากกว่า 40 ปีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีญาติใกล้ชิดเป็นต้อหิน จะเสี่ยงกว่าคนอื่นๆ แถมทุกวันนี้ แฟชั่นเพื่อความงาม และความล้ำสมัย ก็ถูกคิดประดิษฐ์เพื่อตอบสนองความอยากดูดีของมนุษย์ จักษุแพทย์รายนี้แสดงความเป็นห่วงผู้ที่ซื้อคอนเทกต์เลนส์ตาโต หรือที่เรียกกันว่า “บิ๊กอาย” ที่ไม่ได้คุณภาพและมาตรฐานมาสวมใส่ เพื่อหวังจะให้ดูตาหวาน ตาโต ว่า พฤติกรรมเช่นนี้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะอาจทำให้เกิดการแพ้ ติดเชื้อ กระจกตาเป็นแผล

“บิ๊กอายนี่หากมีอาการรุนแรง อาจถึงขั้นทำให้ตาบอดได้ ส่วนคนที่มีปัญหาสายตาสั้นแล้วนั่งหน้าคอมพ์ติดกันเป็นเวลานาน ยิ่งเพิ่มความผิดปกติของประสาทตามากขึ้น อาจส่งผลให้เป็นโรคต้อหินได้ครับ”

นพ.บุญส่ง ให้ความรู้ต่อไปอีกว่า โรคต้อหินเป็นสาเหตุตาบอดอันดับที่สองของโลก จากสถิติปัจจุบันมีคนตาบอดทั่วโลก 4.5 ล้านคน และคาดการณ์ว่า จะเพิ่มขึ้นถึง 11.2 ล้านคนในปี ค.ศ.2010 โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย อาจมีคนเป็นต้อหิน แต่ไม่ทราบว่าตนเองเป็นอยู่ถึง 90% เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่เคยมาพบจักษุแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ต่างจังหวัด สำหรับคนกรุงเทพฯ ปริมณฑล จะดูแลสุขภาพดวงตามาตรวจกับจักษุแพทย์กันปีละครั้ง

“ในประเทศไทยเราพบผู้ป่วยโรคต้อหินส่วนใหญ่อาศัยอยู่ต่างจังหวัดมากกว่าคนกรุงเทพฯ อาจเป็นเพราะคนกรุงเทพฯใส่ใจเรื่องสุขภาพและเข้าถึงคลินิก โรงพยาบาล ได้สะดวกกว่า อย่างไรก็ตาม นับจากนี้ไปคนต่างจังหวัดสามารถเข้ารับการตรวจกับจักษุแพทย์ได้ที่โรงพยาบาลจังหวัดทุกแห่ง” นพ.บุญส่ง กล่าว

จักษุแพทย์รายนี้ ให้ภาพของพยาธิสภาพของโรคต้อหิน ว่า เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับเส้นประสาทตา ซึ่งเชื่อมระหว่างดวงตาและสมอง หากความดันภายในตาสูงกว่าระดับที่เส้นประสาทตาสามารถรับได้จะทำให้การมองเห็นค่อยๆ แคบลง และมองไม่เห็นในที่สุด หรือ ตาบอดได้

“โรคต้อหินแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทแรก มีอาการความดันภายในลูกตาจะสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน ทำให้เกิดอาการปวดตา ตาแดง หรือการมองเห็นไม่ชัดเจน ผู้ป่วยต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยทันที ประเภทที่สอง ไม่แสดงอาการ ซึ่งพบได้มากกว่า รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้จะมีอาการขั้นรุนแรง”

นพ.บุญส่ง อธิบายว่า ระยะเวลาของการเกิดโรคต้อหินถึงการสูญเสียการมองเห็น ใช้เวลานานเป็นปี หรือ 5-10 ปี จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยจะมาพบจักษุแพทย์แล้วพบต้อหินระยะใด ถ้าตรวจพบระยะแรก จะสามารถคุมอาการไว้ได้และไม่สูญเสียการมองเห็น หากตรวจพบระยะที่เป็นมากแล้ว อาจรักษาไม่ทัน ต้องสูญเสียการมองเห็นได้ ส่วนขั้นตอนการรักษา จะควบคุมความดันในลูกตา ซึ่งมี 3 วิธีหลัก คือ ใช้ยา ใช้แสงเลเซอร์ และการผ่าตัด

“สำหรับวิธีการรักษานั้น จะเลือกวิธีไหนรักษาผู้ป่วยนั้น แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการของผู้ป่วยแต่ละราย โดยทั่วไปจะพยายามควบคุมด้วยยาให้ได้ก่อน หากควบคุมด้วยยาไม่ได้ ถัดไปจะใช้เลเซอร์ ถ้ายังคุมไม่ได้ จึงเลือกวิธีผ่าตัดรักษา สำหรับการผ่าตัดต้อหินเป็นการลดความดันลูกตา แพทย์จะเจาะรูที่ผนังลูกตาให้น้ำข้างในออกมาอยู่ที่ใต้เยื่อบุตาเพื่อลดความดันข้างในลูกตา ซึ่งหลักการผ่าตัดระยะแรกจะมีอาการอักเสบบ้าง ทำให้มองไม่เห็นในช่วงแรก เมื่อสู่สภาพปกติ ประมาณ 4-6 สัปดาห์ จะกลับมามองเห็นเหมือนก่อนการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัดแล้ว ยังต้องหมั่นมาพบจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอ” นพ.บุญส่ง สรุป
 
ที่มา :  www.manager.co.th
update : 23/02/2554
























พ่อแม่จ๋า….มาให้ความสำคัญกับ "หมวกกันน็อค" กันเถอะ

เมื่อเอ่ยถึงพาหนะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่นิยมใช้ คงหนีไม่พ้น “จักรยานยนต์” เพราะนอกจากจะขับง่าย ไม่เปลืองน้ำมันแล้ว ยังให้ความคล่องตัว แถมราคาก็ไม่แพงอีกด้วย ครอบครัวธรรมดา ๆ ไม่ต้องพกเงินแสนก็สามารถซื้อหามาใช้ได้

แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังมีครอบครัวไทยอีกไม่น้อยที่หลงลืมข้อปฏิบัติด้านความปลอดภัยในการใช้ “จักรยานยนต์” ไปเสียนี่ นั่นก็คือการไม่สวมหมวกนิรภัย หรือที่เราเรียกกันถนัดปากว่า “หมวกกันน็อค” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีโอกาสเดินทางไปในต่างจังหวัด เรามักพบว่า หลายคนมักไม่นิยมสวมหมวกกันน็อคเอาเสียเลย แม้จะขับบนถนนใหญ่ รถราวิ่งกันฉวัดเฉวียนก็ตาม

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านที่เลือกใช้พาหนะอย่าง "จักรยานยนต์" ในการเดินทาง การสวมหมวกกันน็อคถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ไม่ควรหลงลืม หรือละเลย เพราะนอกจากจะช่วยลดอันตรายที่จะเกิดกับชีวิตแล้ว ยังช่วยป้องกันศีรษะ – สมอง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์อีกด้วย แต่ถ้ายังไม่จุใจ เรามีข้อดีของหมวกกันน็อคมาฝากค่ะ

ข้อดีของหมวกกันน็อค

สำหรับหมวกกันน็อคที่ออกแบบและผลิตอย่างได้มาตรฐาน ภายในจะมีโฟม ซึ่งมีคุณสมบัติยืดหดได้ เมื่อเกิดการชนและกระแทกจากของแข็ง โฟมที่อยู่ภายในหมวกกันน็อคจะถูกอัดกระแทก ยืดเวลาที่ศีรษะใช้ก่อนหยุดเคลื่อนไหวออกไปประมาณ 6 มิลลิวินาที มีผลในการควบคุมพลังงานจากการชน หมวกกันน็อคยังจะกระจายแรงการกระแทกไปยังพื้นที่ที่กว้างขึ้น ทำให้แรงกระแทกไม่ไปรวมอยู่ ณ พื้นที่เล็กๆ ส่วนใดส่วนหนึ่งของกะโหลกเท่านั้น ทำให้แรงกระแทกต่อเนื้อสมองลดลง แรงหมุนและความตึงเครียดภายในก็จะลดลงด้วย

นอกจากนั้น หากลองเปรียบเทียบความเสี่ยงระหว่างการสวมหมวกกันน็อคกับไม่สวมหมวกแล้วพบว่า การสวมหมวกนิรภัย ลดความเสี่ยงและความรุนแรงของการบาดเจ็บลงได้ประมาณ 72% ลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตได้ถึง 39% แต่ขึ้นอยู่กับความเร็วของรถจักรยานยนต์ที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ และลดค่ารักษาพยาบาลที่เกี่ยวเนื่องกับอุบัติเหตุ

แนะวิธีเลือกหมวกกันน็อค สำหรับพ่อแม่

เพื่อความปลอดภัยในฐานะผู้ขับขี่และซ้อนท้ายรถจักยานยนต์ การเลือกซื้อสวมหมวกกันน็อคทุกครั้ง ควรเลือกซื้อหมวกกันน็อคที่มีสัญลักษณ์ มอก. และมีข้อแนะนำ 10 ประการ คือ

1. หมวกกันน็อคที่สามารถปกป้องศีรษะและใบหน้าได้ดีที่สุด คือ หมวกนิรภัยชนิดเต็มใบ รองลงมาคือชนิดเปิดหน้า

2. หมวกกันน็อคควรมีแผ่นกันลมที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ และควรใช้ชนิดใสในเวลากลางคืน และสีทึบในเวลากลางวัน

3. ควรตรวจสอบความหนาของเปลือกนอก ไม่ควรต่ำกว่า 4 มิลลิเมตร มีสีสดและสะท้อนแสงได้ เพื่อผู้ขับขี่คนอื่นเห็นได้ง่าย โดยเฉพาะในเวลาค่ำ และไม่มีส่วนยื่นออกจากผิวชั้นนอกของหมวกกันน็อคเกินกว่า 5 มิลลิเมตร

4. ควรตรวจสอบความแข็งและความหนาของโฟมซึ่งควรมีความหนาประมาณ 2.5 เซนติเมตรขึ้นไป เนื้อโฟมแข็ง ใช้นิ้วกดไม่ลง

5. ควรใช้มือคลำโฟมส่วนหน้าของหมวกกันน็อค หากมีรอยคว้านมากกว่า 1 เซนติเมตรขึ้นไปไม่ควรใช้ เนื่องจากจะเป็นจุดอ่อนของหมวกบริเวณนั้น ทำให้ได้รับอันตรายต่อศีรษะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

6. ควรตรวจสอบการติดตั้งสายรัดคาง และเลือกชนิดที่เป็นโลหะกับโลหะด้วยกัน

7. ควรตรวจสอบตัวยึดสายรัดคาง และเลือกชนิดที่เป็นรูปครึ่งวงกลม 2 ชิ้นด้วยกัน หรือระหว่างโลหะกับโลหะ ควรหลีกเลี่ยงชนิดที่ทำด้วยพลาสติก เนื่องจากชำรุดได้ง่าย

8. ควรสวมหมวกกันน็อคก่อนซื้อ ไม่ควรใช้ที่หมวกที่หลวมหรือคับเกินไป

9. หากเกิดอุบัติเหตุ และหมวกกันน็อคได้รับแรงกระแทกแล้ว จะต้องเลือกซื้อหมวกใบใหม่ทันที ไม่ควรนำมาใช้อีก

10. ไม่ควรแขวนหมวกกันน็อคใกล้กับถังน้ำมัน เพราะไอระเหยของน้ำมันจะทำให้โฟมเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

ที่มา : www.manager.co.th
update : 23/02/2554

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554




















ทำไมยาบางชนิดต้องกินก่อนนอน บางชนิดกินหลังอาหาร ? 

การที่จะทราบว่าการกินยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหารสำคัญอย่างไรนั้น เราต้องทราบก่อนว่าขั้นตอนที่ยาจะไปออกฤทธิ์นั้นเป็นอย่างอย่างไร

เวลาเรากินยาเข้าไป ถ้าเป็นยาเม็ด หรือแคปซูล  ยานั้นจะแตกออกเป็นส่วนเล็ก ๆ ก่อน แล้วละลายในน้ำ ซึ่งอยู่ในกระเพาะอาหารและทางเดินอาหาร หลังจากนั้นก็จะถูกูดซึมเข้าผนังทางเดินอาหาร   เข้าสู่กระแสเลือดไปยังสส่วนต่าง ๆ ของร่างกายต่อไป  แต่ถ้าเป็นยาน้ำ ขบวนการนี้ก็จะเร็วขึ้น ยาจะออกฤทธิ์เมื่อเข้าไปอยู่ในกระแสเลือดแล้ว และต้องมีปริมาณสูงพอด้วย  อาหหารบางย่างมีผลต่อการดูดซึมของยา ยาบางตัวก็มีผลต่อกระเพาะอาหาร เช่น ทำให้เกิดระคายเคือง  ดังนั้น การกินยาก่อนหรือหลังอาหาร   จึงมีความสำคัญขึ้นกับว่าต้องการผลของยาในแง่ใด  ปกติ เมื่อกระเพาะมีอาหารอยู่เต็ม ยาจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้น้อยกว่า และใช้เวลามากกว่าเมื่อกระเพาะว่าง

จากที่กล่าวมาแล้ว ถ้าเรากินยาก่อนอาหารทันทีม หลังอาหารทันที หรือกินยาพร้อมอาหาร จะมีความหมายแทบไม่แตกต่างกัน ซึ่งถือว่ากินยาในห้วงเวลาที่กระเพาะอาหารไม่ว่างเหมือนกัน  ดังนั้น เราจะกำหนดเวลาไปด้วยว่ากินก่อนอาการ หรือหลังอาหารนานเท่าใด จึงจะได้ผลตามที่ต้องการ จะขอแบ่งวิธีการกินยา ประกอบเหตุผล พอเป็นสังเขป ดังนี้

กินก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง 

เพราะเราต้องการให้ได้รับยาขณะท้องว่าง เพื่อให้ยาดูดซึมได้ดีที่สุด ยาพวกที่ต้องกินแบบนี้ ได้แก่       แอมพิซิลลิน, ไรแฟมพิซิล  เพนนิซิลลิน, เป็นต้น  บางที่เราต้องการให้ยาออกฤทธิ์ก่อนอาหารตกถึงกระเพาะ (จะกินก่อนอาหารนานเท่าใดขึ้นกับเวลาตั้งแต่เริ่มกิน จนถึงเวลาที่ยาออกฤทธิ์  ซึ่งยาแต่ละตัวจะแตกต่างกันบ้าง) เช่น ยาที่ลดการเกร็ง  หรือบีบตัวของกระเพาะและทางเดินอาหาร คนที่เป็นโรคกระเพาะนั้นมักจะปวดท้อง เมื่ออาหารตกไปถึงกระเพาะ  เพราะอาหารเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะลำไส้บีบตัวมากขึ้น จึงต้องให้ยาออกฤทธิ์ ลดการบีบตัวของกระเพาะลำไส้ โดยกินยาก่อนอาหาร ประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ยาออกฤทธิ์พอดีเวลาอาหาร ซึ่งจะบรรเทาอาการปวดท้องได้  ยังมียาที่กระตุ้นให้เกิด
การอาหาร ก็ต้องกินก่อนอาหาร ประมาร 1/2 ชั่วโมง  พอยาออกฤทธิ์ จะกินอาหารได้มากขุึ้น

กินหลังอาหารทันที่ = กินก่อนอาหารทันที = กินพร้อมอาหาร  ยาบางตัวหากกินตอนท้องว่างจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารมาก  ทำให้คลื่นไส้อาเจียน แต่ถ้ากินพร้อมอาหารจะช่วยลดการระคายเคืองได้ ยาพวกนี้ได้แก่ ยาแก้ปวดชนิดต่าง ๆ เช่น แอสไพริน, ย่แกเปสดข้อ เช่น เพนนิลบิวทาโซน, ไอบูโปรเฟน, อินโดเมดทาซิน เป็นต้น  นอกจากกินพร้อมอาหารแล้ว ยาที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น แอสไพริน การกินน้ำตามมาก ๆ เพื่อไปเจือจาง หรือลดความเป็นกรดให้น้อยลง ก็ช่วยลดการระคายเคืองได้

กินยาหลังอาหาร 1 ชั่วโมง

ยาบางชนิดจะออกฤทธิ์นาน เมื่อกินหลังอาหาร เช่น ยาลดกรด ซึ่งมีผู้ทดลองได้ผลว่า ถ้าให้ยาในขณะที่ท้องว่างยาจะออกฤทธิ์นาน ประมาณ 30 นาที แต่ถ้าให้ยาหลังอาหาร 1 ชั่วโมง ยาจะออกฤทธิ์นาน 4 ชั่วโมง  ดังนั้น จึงกำหนดให้กินหลังอาหาร 1 ชั่วโมง ไหน ๆ ก็พูดถึงยาก่อนอาหาร, ลังอาหาร, พร้อมอาหารแล้ว  ขอพูดถึงยากินก่อนนอนสักเล็กน้อย  ยาบางชนิดกินแล้วทำให้ง่วงมึนงง เช่น ยาคลายกังวล, ยาแก้แพ้ซึ่งเป็นส่วนผสมของยาแก้หวัด ลดน้ำมูก จึงควรกินก่อนนอน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ปลอดภัยในขณะทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร หรือขับรถในเวลากลางวันแล้ว ยังทำให้หลับได้อย่างสบสยในเวลากลางคืนอีกด้วย

จึงขอสรุปได้ว่า  จะกินยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหาร ขึ้นกับวัตถุประสงค์ในการให้ยานั้น ๆ ออกฤทธิ์ให้ได้ผลมากที่สุด มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ส่วนจะก่อน - หลังนานเท่าใดนั้น  ขึ้นกับเวลาตั้งแต่เริ่มกินยาจนถึงเวลาที่ยาดูดซึมเข้าผนังทางเดินอาหารหมด  หรือาจเลยไปถึงเวลาที่ยาออกฤทธิ์ แล้วแต่ว่าเราต้องการผลอันไหน

คงจะเห็นแล้วว่า เวลากินยาก่อน หรือหลังอาหารมีความสำคัญเพียงใด  ดังนั้น  เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด  ผู้ป่วยควรกินยาตามเวลาที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ผลดีก็จะตกอยู่กับตัวของผู้ป่วยเอง

ที่มา : http://www.manager.co.th/
ภาพ : http//www.yaandyou.net
update : 15/02/2554

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

















เตือน! วัยรุ่นตาบอดก่อนวัย จักษุแพทย์ ม.รังสิต แนะวิธีถนอมสายตา

จักษุแพทย์ ม.รังสิต แนะวิธีถนอมดวงตาเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน เตือน วัยรุ่นผู้ใช้คอมพิวเตอร์ควรกระพริบตา 10-15 ครั้งต่อนาที เพื่อป้องกันอาการตาแห้ง เผยคอมพิวเตอร์ไม่ใช่สาเหตุของการเป็นต้อ ยังมีโรคตาอีกมากมายที่ไม่ใช่ต้อแต่ทำให้คนไทยตาบอด

พญ.วัฒนีย์ เย็นจิตร รองคณบดีคณะทัศนมาตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงการใช้สายตาในชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่ว่า ปัจจุบันคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์สำคัญในการใช้ชีวิตประจำวันดังนั้นควรใช้สายตาในการใช้งานให้ถูกต้อง โรคตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานเรียกว่า Computer Vision Syndrome (CVS) ซึ่งประกอบไปด้วย
  1.  ปัญหาปวดเมื่อยตา เกิดจากการใช้สายตานานๆ จึงควรหยุดพักสายตาเป็นระยะ ทุก 20-30 นาที ให้มองไปยังพื้นที่กว้างนอกจอคอมพิวเตอร์ 30-60 วินาที แล้วจึงมาทำงานต่อไป
  2. ปัญหาเคืองตา ปกติดวงตาของมนุษย์จะมีน้ำตาเคลือบตลอดเวลา เพื่อช่วยในการหักเหของแสง ทำให้มองเห็นชัด และล้างสิ่งแปลกปลอมหรือสารพิษออกจากดวงตา ถ้าน้ำตาเคลือบผิวตาน้อยกว่าปกติ จะทำให้มีอาการแสบตา ตามัว เคืองตาเป็นระยะ การใช้คอมพิวเตอร์ทำงานนานๆ ทำให้ผู้ใช้กระพริบตาน้อยกว่าปกติ หรือ ลืมกระพริบตา โดยปกติแล้วคนเรากระพริบตา 10-15 ครั้งต่อนาที ทั้งนี้การใช้คอมพิวเตอร์มักทำให้ผู้ใช้ติดนิสัยเบิกตานานๆ หรือมีพฤติกรรมการมองตรงโดยไม่ได้มองลงเหมือนเช่นการอ่านหนังสือที่หนังตาต้องปิดลงมาเกือบครึ่งหนึ่ง ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์มักมีอาการตาแห้ง แสบตา เคืองตา ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จึงควรหลับตาพักขณะใช้งานบ้าง เพื่อให้น้ำตามาหล่อเลี้ยงตาได้ หากอาการยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้ใช้น้ำตาเทียมเพื่อแก้ปัญหา 
  3. ปัญหาตามัว มักพบในเด็กที่เล่นคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานเกินไป ปกติภาวะสายตาสั้น ยาว เอียง จะถูกกำหนดมาจากกรรมพันธุ์ พฤติกรรมการใช้สายตาอาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมากนัก แต่ถ้าเด็กใช้สายตาเพ่งนานๆ อาจเกิดภาวะคล้ายสายตาสั้น คือ มองไกลไม่ชัด ในระยะแรกอาจเป็นชั่วคราว จึงไม่ควรให้เด็กใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ ในผู้ใหญ่ก็เช่นเดียวกัน การใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ทำให้มีอาการปวดศีรษะ เมื่อยตา โดยเฉพาะคนที่มีสายตาผิดปกติต้องใส่แว่นแก้ไขให้พอเหมาะตาแห้ง
  4. ปัญหาอื่นๆ เช่น กระดูกและข้อ ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จะต้องให้ความสำคัญกับการนั่ง โดยศีรษะควรอยู่สูงกว่าจอคอมพิวเตอร์เล็กน้อยจะได้ไม่ต้องเงยหน้ามาก ป้องกันอาการล้าบริเวณลำคอ ทั้งนี้หลายคนเกรงว่าคอมพิวเตอร์อาจมีรังสีแผ่ออกมาจากจอภาพเป็นอันตรายต่อดวงตา แต่ปัจจุบันนี้กลับพบน้อยมากเพราะคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อตาและต่อร่างกาย ผู้ใช้จึงไม่จำเป็นต้องใช้แผ่นกรองแสงหรือแว่นตากรองแสงช่วยเหมือนที่ผ่านมา
 “การใช้สายตาในสถานที่ที่มีแสงสว่างน้อย จะทำให้ต้องเพ่งสายตามากจนเกิดอาการเมื่อยตา หากมีการใช้สายตานานๆ ทุก 20-30 นาที ควรพักสายตาโดยมองออกไปไกลๆ หรือมองออกไปนอกหน้าต่าง 30-60 วินาที เพื่อให้กล้ามเนื้อตาได้ผ่อนคลาย ทั้งนี้ใน 1 ชั่วโมงของการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้ควรพักสายตา 5-10 นาที ในชีวิตประจำวัน ทุกคนควรนอนหลับอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมงจึงจะเพียงพอต่อการพักผ่อนร่างกายและสายตา การอดนอนจะทำให้ดวงตาพักผ่อนน้อย จะทำให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกับการใช้สายตาติดต่อกันนานๆ คือ แสบตา เคืองตา ตาแห้ง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตา และปวดศีรษะ” พญ.วัฒนีย์ กล่าว

รองคณบดีคณะทัศนมาตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวเพิ่มเติมถึง “โรคต้อ” ว่า ต้อ เป็นคำรวมเรียกโรคตาหลายชนิดที่ทำให้ตามัว แต่การใช้คอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวันไม่ได้มีผลทำให้ผู้ใช้เป็นต้อ ทั้งนี้ โรคต้อที่ได้ยินบ่อยๆ ได้แก่

1. ต้อลม เป็นเยื่อหรือก้อนนูนสีขาวปนเหลืองบริเวณหัวตา เกิดจากการถูกสิ่งระคายเคือง เช่น ลม ฝุ่น แสงแดด เป็นเวลานานๆ ทำให้เคืองตา แต่ไม่ทำให้ตาบอด ป้องกันโดยใส่แว่นกันแดด

2. ต้อเนื้อ เป็นโรคที่ต่อเนื่องมาจากต้อลม แต่เยื่อหรือก้อนนูนลามเข้ามาถึงกระจกตา เห็นเป็นเนื้อเยื่อรูปสามเหลี่ยมบริเวณหัวตาและหางตา ส่วนมากจะมีสีแดง เกิดจากการถูกสิ่งระคายเคืองมานานหลายปี ทำให้มีอาการเคืองตา ถ้าต้อลามมากถึงรูม่านตา จะมีอาการตามัว บางครั้งทำให้เกิดสายตาเอียงได้ ถ้าเป็นไม่มากให้ใส่แว่นกันแดดและหยอดตาแก้ระคายเคือง ไม่ควรซื้อยาหยอดเอง เพราะอาจมียาที่ผสมฮอร์โมนสเตอรอยด์ ทำให้ตาบอดได้ ถ้าเป็นมากแนะนำให้ผ่าตัดออก การดูแลหลังผ่าตัดสำคัญมาก มิฉะนั้นจะเป็นซ้ำอีกได้ ป้องกันโดยใส่แว่นกันแดด

3. ต้อกระจก เป็นโรคที่เกิดจากการขุ่นของเลนส์ตา เป็นการเสื่อมสภาพ พบมากในผู้สูงอายุ แต่อาจมีบางชนิดเป็นต้อกระจกตั้งแต่กำเนิด หรือเป็นหลังจากมีอุบัติเหตุบริเวณหน้าและตาได้ เมื่อมองผ่านรูม่านตาผู้สูงอายุเข้าไป จะเห็นเป็นฝ้าขาวแทนสีดำใส มองคล้ายกระจกที่เป็นฝ้า ทำให้ผู้ป่วยมองภาพมัวคล้ายเป็นหมอกที่เห็นไม่ชัด ซึ่งอาจทำให้ตาบอดได้ ต้องแก้ไขโดยการผ่าตัดสลายต้อและใส่เลนส์ (แก้วตา) เทียม บางครั้งหลังผ่าตัดไปนานๆ จะเกิดตามัวอีก เพราะเปลือกเลนส์ขุ่น เมื่อมายิงเลเซอร์ก็จะเห็นดีเหมือนเดิม เป็นโรคตาบอดที่รักษาให้กลับมาเห็นดีเหมือนเดิมได้
 
4. ต้อหิน เป็นโรคตาที่ร้ายแรงที่สุด เพราะมีการทำลายขั้วประสาทตา เกิดจากความไม่สมดุลของน้ำที่ไหลเวียนในตา เช่น การระบายออกของน้ำน้อยเกินไป ทำให้มีน้ำมาก กดดูพบว่าตาแข็งกว่าปกติ มีความดันตาสูงกว่าปกติ จึงเรียกว่าต้อหิน หรือการไหลเวียนของเลือดที่มาเลี้ยงขั้วประสาทตาไม่ดี ทำให้ขั้วประสาทตาตายโดยความดันตาไม่สูง พบมากในหมู่คนไทย ทำให้ตาบอดได้อย่างช้าๆ โดยบอดมาจากบริเวณริมๆ ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ต้อหินบางชนิดมีความดันตาสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน มีการปวดหัว ปวดตา ตามัวทันที ทำให้ตาบอดได้อย่างรวดเร็ว แพทย์จะรักษาด้วยการให้ยาจนความดันตาลดลง และยิงเลเซอร์หรือผ่าตัดทันที การไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาต้อหินจะใช้เวลามาก เพราะต้องวัดความดันตา ตรวจลานสายตา ดูขั้วประสาทตา ผู้ที่มีประวัติต้อหินในครอบครัว ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ล้วนเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นต้อหินได้ ต้องมาตรวจคัดกรองจากจักษุแพทย์ โดยเฉพาะเมื่ออายุ 40 ปี หากเริ่มใส่แว่นอ่านหนังสือครั้งแรกจะต้องวัดความดันตาครั้งแรกด้วย
 
ทั้งนี้ควรตรวจตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หากมีอาการปวดหัว ปวดตา ตามัว ควรไปพบจักษุแพทย์ทันที ต้อหินเป็นโรคตาที่รักษาให้กลับมาเห็นดีเหมือนเดิมไม่ได้ จึงป้องกันไว้ดีกว่าแก้ ในทางการแพทย์ทำได้เพียงการรักษาไม่ให้ตามัวมากกว่าเดิม โดยการยิงแสงเลเซอร์ป้องกันในคนที่มีมุมม่านตาแคบ และเมื่อทราบว่าเป็นต้อหิน ก็ต้องใช้ยาสม่ำเสมอ และไม่ซื้อยาหยอดตาใช้เอง
 
พญ.วัฒนีย์ กล่าวแนะนำทิ้งท้ายว่า การลอกหรือผ่าตัดตาสามารถทำได้ข้างละ 1 ครั้งเท่านั้น การจะผ่าตัดตาจะขึ้นกับโรค หากเป็นต้อเนื้อและ ต้อกระจกผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัดก็ต่อเมื่อสายตามัวมากจนใช้ชีวิตประจำวันไม่สะดวก

“ในกรณีต้อกระจก หากผ่าตัดแล้วมีอาการกลับมาตามัวอีก แพทย์จะรักษาโดยการยิงเลเซอร์ สำหรับต้อหิน ผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัดก็ต่อเมื่อควบคุมความดันตาด้วยยาหยอดตาไม่ได้หรือไม่สามารถใช้ยาหยอดตาให้สม่ำเสมอได้แล้ว ทั้งนี้กรณีของต้อหินอาจพบการผ่าตัดมากกว่า 1 ครั้งได้ อย่างไรก็ตามยังมีโรคตาอีกมากมายที่ไม่ใช่ต้อ แต่สามารถทำให้ตาบอดได้”


ที่มา : www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9540000013382
update : 1 กุมภาพันธ์ 2554

วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

อธิบดีคุกเด็กเห็นด้วยเคอร์ฟิวโจ๋ 18

อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็ก เห็นด้วยกับนโยบายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ออกจากบ้านหลัง 4 ทุ่ม เชื่อจะตัดปัญหาต่างๆ ที่จะตามมาได้อีกมากมาย ย้ำ ถ้าตำรวจทำจริง จะดีมาก

วันนี้ (14 ม.ค.) นายธวัชชัย ไทยเขียว อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม กล่าวถึง กรณีทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) จะห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ออกจากเคหสถานหลังเวลา 22.00 น.ว่า เห็นด้วยอย่างมาก เพราะเคยเสนอนโยบายดังกล่าวมาตั้งแต่เริ่มมีการร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กและเยาวชน ช่วงปี พ.ศ.2543 ก่อนกฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ ในปี พ.ศ.2546

นายธวัชชัย กล่าวว่า หลักการของการห้ามเด็กออกจากบ้านหลังสี่ทุ่ม เพื่อปกป้องและคุ้มครองเด็ก ไม่ใช่การจับเด็กเข้าคุก เพราะจากผลการวิจัยของกรมพินิจฯ ที่ได้สืบเสาะประวัติเด็กที่กระทำผิดปีละกว่า 5 หมื่นคน พบว่า ส่วนใหญ่จะมีพฤติการณ์ก่อนการกระทำผิด โดยเริ่มจากการคบเพื่อน ติดบุหรี่ สุรา หนีเที่ยวกลางคืน กระทั่งทำผิดจนถูกจับกุม อีกทั้งเด็กวัยนี้ ในเวลาสี่ทุ่ม ควรจะพักผ่อนไม่ใช่ออกมาเที่ยวเตร่ หรือออกมาทำงาน เพราะกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ทำงาน ส่วนเด็กอายุระหว่าง 15-18 ปี ทำงานได้บางประเภท และลักษณะงานที่ทำ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ตรวจกระทรวงแรงงาน ส่วนเด็กที่ต้องขายพวงมาลัย หรือต้องออกมาทำงานรับจ้างหาเลี้ยงตัวเอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาดูแลให้ใกล้ชิด

อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กล่าวอีกว่า กระบวนการห้ามเด็กออกจากบ้านหลังสี่ทุ่ม หากตำรวจไปเจอเด็กที่หนีเที่ยว หรือออกมาเตร็ดเตร่ โดยไม่มีเหตุผล จะนำตัวไปที่สถานีตำรวจ เพื่อเรียกให้พ่อแม่มารับตัว พร้อมสืบเสาะประวัติครอบครัว ก่อนปล่อยให้กลับบ้าน ไม่มีการประกันตัว ไม่ทำประวัติ

ทั้งนี้ หากพบว่า เด็กไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ตำรวจอาจส่งเข้าโปรแกรมฟื้นฟูของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือกระทรวงศึกษาธิการ ส่วนเด็กที่ปล่อยให้กลับไปอยู่กับครอบครัว อาจมีโปรแกรมดูแลเด็กร่วมกับครอบครัวและโรงเรียน ส่วนกลุ่มเด็กที่ไม่เรียนหนังสือ ตำรวจอาจส่งต่อสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน

“ถ้าปล่อยกลุ่มเด็กเหล่านี้ไว้ตามยถากรรม อะไรจะเกิดขึ้น ก็หนีไม่พ้นวังวนของการทำผิดกฎหมายในที่สุด ส่วนกลุ่มเด็กที่กลับจากเรียนพิเศษ หรือเรียนภาคค่ำ หรือออกมาทำธุระให้พ่อแม่ ก็ให้แสดงหลักฐานยืนยันได้ เรื่องนี้ถ้าตำรวจจะทำ เป็นสิ่งที่ดีมากๆ เพราะไม่มีใครอยากทำ เนื่องจากจะวุ่นวายกับเจ้าหน้าที่มาก เมื่อมีคนมาช่วยดูแลอบรมบุตรหลาน พ่อแม่ควรดีใจ เป็นการใช้กฎหมายบังคับเพื่อคุ้มครองส่งเสริมสวัสดิภาพเด็ก” นายธวัชชัย กล่าว



ที่มา : http://www.manager.co.th/
up date 14/01/2554