วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
























"ต้อหิน" ภัยมืดในดวงตา

สำหรับผู้ที่กำลังมีปัญหาด้านสายตา ไม่ว่าจะเป็น สายตาสั้น สายตายาว หรือผู้ที่มีพฤติกรรมชอบนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ และเพ่งมองจอนานๆ ครั้งละหลายชั่วโมง หรือผู้ที่ซื้อคอนแทกต์เลนส์มาใส่เอง โดยไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือมาตรวจกับจักษุแพทย์ก่อน และถ้าคุณมีอายุเลข 4 นำหน้า แล้วมีปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้องเป็นต้อหิน ขอให้พึงตระหนัก ว่า คุณคือหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง ของผู้ที่อาจจะเป็น “ต้อหิน” ...เป็นมหันตภัยร้ายให้คุณก้าวสู่ “โลกมืด” ได้ ถ้าไม่มาพบจักษุแพทย์เสียแต่เนิ่นๆ

นพ.บุญส่ง วนิชเวชารุ่งเรือง จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยาและต้อหิน โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า ในความเป็นจริงแล้ว โรคต้อหินพบได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ แต่ที่พบมากจะเป็นกลุ่มอายุมากกว่า 40 ปีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีญาติใกล้ชิดเป็นต้อหิน จะเสี่ยงกว่าคนอื่นๆ แถมทุกวันนี้ แฟชั่นเพื่อความงาม และความล้ำสมัย ก็ถูกคิดประดิษฐ์เพื่อตอบสนองความอยากดูดีของมนุษย์ จักษุแพทย์รายนี้แสดงความเป็นห่วงผู้ที่ซื้อคอนเทกต์เลนส์ตาโต หรือที่เรียกกันว่า “บิ๊กอาย” ที่ไม่ได้คุณภาพและมาตรฐานมาสวมใส่ เพื่อหวังจะให้ดูตาหวาน ตาโต ว่า พฤติกรรมเช่นนี้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะอาจทำให้เกิดการแพ้ ติดเชื้อ กระจกตาเป็นแผล

“บิ๊กอายนี่หากมีอาการรุนแรง อาจถึงขั้นทำให้ตาบอดได้ ส่วนคนที่มีปัญหาสายตาสั้นแล้วนั่งหน้าคอมพ์ติดกันเป็นเวลานาน ยิ่งเพิ่มความผิดปกติของประสาทตามากขึ้น อาจส่งผลให้เป็นโรคต้อหินได้ครับ”

นพ.บุญส่ง ให้ความรู้ต่อไปอีกว่า โรคต้อหินเป็นสาเหตุตาบอดอันดับที่สองของโลก จากสถิติปัจจุบันมีคนตาบอดทั่วโลก 4.5 ล้านคน และคาดการณ์ว่า จะเพิ่มขึ้นถึง 11.2 ล้านคนในปี ค.ศ.2010 โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย อาจมีคนเป็นต้อหิน แต่ไม่ทราบว่าตนเองเป็นอยู่ถึง 90% เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่เคยมาพบจักษุแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ต่างจังหวัด สำหรับคนกรุงเทพฯ ปริมณฑล จะดูแลสุขภาพดวงตามาตรวจกับจักษุแพทย์กันปีละครั้ง

“ในประเทศไทยเราพบผู้ป่วยโรคต้อหินส่วนใหญ่อาศัยอยู่ต่างจังหวัดมากกว่าคนกรุงเทพฯ อาจเป็นเพราะคนกรุงเทพฯใส่ใจเรื่องสุขภาพและเข้าถึงคลินิก โรงพยาบาล ได้สะดวกกว่า อย่างไรก็ตาม นับจากนี้ไปคนต่างจังหวัดสามารถเข้ารับการตรวจกับจักษุแพทย์ได้ที่โรงพยาบาลจังหวัดทุกแห่ง” นพ.บุญส่ง กล่าว

จักษุแพทย์รายนี้ ให้ภาพของพยาธิสภาพของโรคต้อหิน ว่า เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับเส้นประสาทตา ซึ่งเชื่อมระหว่างดวงตาและสมอง หากความดันภายในตาสูงกว่าระดับที่เส้นประสาทตาสามารถรับได้จะทำให้การมองเห็นค่อยๆ แคบลง และมองไม่เห็นในที่สุด หรือ ตาบอดได้

“โรคต้อหินแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทแรก มีอาการความดันภายในลูกตาจะสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน ทำให้เกิดอาการปวดตา ตาแดง หรือการมองเห็นไม่ชัดเจน ผู้ป่วยต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยทันที ประเภทที่สอง ไม่แสดงอาการ ซึ่งพบได้มากกว่า รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้จะมีอาการขั้นรุนแรง”

นพ.บุญส่ง อธิบายว่า ระยะเวลาของการเกิดโรคต้อหินถึงการสูญเสียการมองเห็น ใช้เวลานานเป็นปี หรือ 5-10 ปี จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยจะมาพบจักษุแพทย์แล้วพบต้อหินระยะใด ถ้าตรวจพบระยะแรก จะสามารถคุมอาการไว้ได้และไม่สูญเสียการมองเห็น หากตรวจพบระยะที่เป็นมากแล้ว อาจรักษาไม่ทัน ต้องสูญเสียการมองเห็นได้ ส่วนขั้นตอนการรักษา จะควบคุมความดันในลูกตา ซึ่งมี 3 วิธีหลัก คือ ใช้ยา ใช้แสงเลเซอร์ และการผ่าตัด

“สำหรับวิธีการรักษานั้น จะเลือกวิธีไหนรักษาผู้ป่วยนั้น แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการของผู้ป่วยแต่ละราย โดยทั่วไปจะพยายามควบคุมด้วยยาให้ได้ก่อน หากควบคุมด้วยยาไม่ได้ ถัดไปจะใช้เลเซอร์ ถ้ายังคุมไม่ได้ จึงเลือกวิธีผ่าตัดรักษา สำหรับการผ่าตัดต้อหินเป็นการลดความดันลูกตา แพทย์จะเจาะรูที่ผนังลูกตาให้น้ำข้างในออกมาอยู่ที่ใต้เยื่อบุตาเพื่อลดความดันข้างในลูกตา ซึ่งหลักการผ่าตัดระยะแรกจะมีอาการอักเสบบ้าง ทำให้มองไม่เห็นในช่วงแรก เมื่อสู่สภาพปกติ ประมาณ 4-6 สัปดาห์ จะกลับมามองเห็นเหมือนก่อนการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัดแล้ว ยังต้องหมั่นมาพบจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอ” นพ.บุญส่ง สรุป
 
ที่มา :  www.manager.co.th
update : 23/02/2554
























พ่อแม่จ๋า….มาให้ความสำคัญกับ "หมวกกันน็อค" กันเถอะ

เมื่อเอ่ยถึงพาหนะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่นิยมใช้ คงหนีไม่พ้น “จักรยานยนต์” เพราะนอกจากจะขับง่าย ไม่เปลืองน้ำมันแล้ว ยังให้ความคล่องตัว แถมราคาก็ไม่แพงอีกด้วย ครอบครัวธรรมดา ๆ ไม่ต้องพกเงินแสนก็สามารถซื้อหามาใช้ได้

แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังมีครอบครัวไทยอีกไม่น้อยที่หลงลืมข้อปฏิบัติด้านความปลอดภัยในการใช้ “จักรยานยนต์” ไปเสียนี่ นั่นก็คือการไม่สวมหมวกนิรภัย หรือที่เราเรียกกันถนัดปากว่า “หมวกกันน็อค” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีโอกาสเดินทางไปในต่างจังหวัด เรามักพบว่า หลายคนมักไม่นิยมสวมหมวกกันน็อคเอาเสียเลย แม้จะขับบนถนนใหญ่ รถราวิ่งกันฉวัดเฉวียนก็ตาม

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านที่เลือกใช้พาหนะอย่าง "จักรยานยนต์" ในการเดินทาง การสวมหมวกกันน็อคถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ไม่ควรหลงลืม หรือละเลย เพราะนอกจากจะช่วยลดอันตรายที่จะเกิดกับชีวิตแล้ว ยังช่วยป้องกันศีรษะ – สมอง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์อีกด้วย แต่ถ้ายังไม่จุใจ เรามีข้อดีของหมวกกันน็อคมาฝากค่ะ

ข้อดีของหมวกกันน็อค

สำหรับหมวกกันน็อคที่ออกแบบและผลิตอย่างได้มาตรฐาน ภายในจะมีโฟม ซึ่งมีคุณสมบัติยืดหดได้ เมื่อเกิดการชนและกระแทกจากของแข็ง โฟมที่อยู่ภายในหมวกกันน็อคจะถูกอัดกระแทก ยืดเวลาที่ศีรษะใช้ก่อนหยุดเคลื่อนไหวออกไปประมาณ 6 มิลลิวินาที มีผลในการควบคุมพลังงานจากการชน หมวกกันน็อคยังจะกระจายแรงการกระแทกไปยังพื้นที่ที่กว้างขึ้น ทำให้แรงกระแทกไม่ไปรวมอยู่ ณ พื้นที่เล็กๆ ส่วนใดส่วนหนึ่งของกะโหลกเท่านั้น ทำให้แรงกระแทกต่อเนื้อสมองลดลง แรงหมุนและความตึงเครียดภายในก็จะลดลงด้วย

นอกจากนั้น หากลองเปรียบเทียบความเสี่ยงระหว่างการสวมหมวกกันน็อคกับไม่สวมหมวกแล้วพบว่า การสวมหมวกนิรภัย ลดความเสี่ยงและความรุนแรงของการบาดเจ็บลงได้ประมาณ 72% ลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตได้ถึง 39% แต่ขึ้นอยู่กับความเร็วของรถจักรยานยนต์ที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ และลดค่ารักษาพยาบาลที่เกี่ยวเนื่องกับอุบัติเหตุ

แนะวิธีเลือกหมวกกันน็อค สำหรับพ่อแม่

เพื่อความปลอดภัยในฐานะผู้ขับขี่และซ้อนท้ายรถจักยานยนต์ การเลือกซื้อสวมหมวกกันน็อคทุกครั้ง ควรเลือกซื้อหมวกกันน็อคที่มีสัญลักษณ์ มอก. และมีข้อแนะนำ 10 ประการ คือ

1. หมวกกันน็อคที่สามารถปกป้องศีรษะและใบหน้าได้ดีที่สุด คือ หมวกนิรภัยชนิดเต็มใบ รองลงมาคือชนิดเปิดหน้า

2. หมวกกันน็อคควรมีแผ่นกันลมที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ และควรใช้ชนิดใสในเวลากลางคืน และสีทึบในเวลากลางวัน

3. ควรตรวจสอบความหนาของเปลือกนอก ไม่ควรต่ำกว่า 4 มิลลิเมตร มีสีสดและสะท้อนแสงได้ เพื่อผู้ขับขี่คนอื่นเห็นได้ง่าย โดยเฉพาะในเวลาค่ำ และไม่มีส่วนยื่นออกจากผิวชั้นนอกของหมวกกันน็อคเกินกว่า 5 มิลลิเมตร

4. ควรตรวจสอบความแข็งและความหนาของโฟมซึ่งควรมีความหนาประมาณ 2.5 เซนติเมตรขึ้นไป เนื้อโฟมแข็ง ใช้นิ้วกดไม่ลง

5. ควรใช้มือคลำโฟมส่วนหน้าของหมวกกันน็อค หากมีรอยคว้านมากกว่า 1 เซนติเมตรขึ้นไปไม่ควรใช้ เนื่องจากจะเป็นจุดอ่อนของหมวกบริเวณนั้น ทำให้ได้รับอันตรายต่อศีรษะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

6. ควรตรวจสอบการติดตั้งสายรัดคาง และเลือกชนิดที่เป็นโลหะกับโลหะด้วยกัน

7. ควรตรวจสอบตัวยึดสายรัดคาง และเลือกชนิดที่เป็นรูปครึ่งวงกลม 2 ชิ้นด้วยกัน หรือระหว่างโลหะกับโลหะ ควรหลีกเลี่ยงชนิดที่ทำด้วยพลาสติก เนื่องจากชำรุดได้ง่าย

8. ควรสวมหมวกกันน็อคก่อนซื้อ ไม่ควรใช้ที่หมวกที่หลวมหรือคับเกินไป

9. หากเกิดอุบัติเหตุ และหมวกกันน็อคได้รับแรงกระแทกแล้ว จะต้องเลือกซื้อหมวกใบใหม่ทันที ไม่ควรนำมาใช้อีก

10. ไม่ควรแขวนหมวกกันน็อคใกล้กับถังน้ำมัน เพราะไอระเหยของน้ำมันจะทำให้โฟมเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

ที่มา : www.manager.co.th
update : 23/02/2554

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554




















ทำไมยาบางชนิดต้องกินก่อนนอน บางชนิดกินหลังอาหาร ? 

การที่จะทราบว่าการกินยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหารสำคัญอย่างไรนั้น เราต้องทราบก่อนว่าขั้นตอนที่ยาจะไปออกฤทธิ์นั้นเป็นอย่างอย่างไร

เวลาเรากินยาเข้าไป ถ้าเป็นยาเม็ด หรือแคปซูล  ยานั้นจะแตกออกเป็นส่วนเล็ก ๆ ก่อน แล้วละลายในน้ำ ซึ่งอยู่ในกระเพาะอาหารและทางเดินอาหาร หลังจากนั้นก็จะถูกูดซึมเข้าผนังทางเดินอาหาร   เข้าสู่กระแสเลือดไปยังสส่วนต่าง ๆ ของร่างกายต่อไป  แต่ถ้าเป็นยาน้ำ ขบวนการนี้ก็จะเร็วขึ้น ยาจะออกฤทธิ์เมื่อเข้าไปอยู่ในกระแสเลือดแล้ว และต้องมีปริมาณสูงพอด้วย  อาหหารบางย่างมีผลต่อการดูดซึมของยา ยาบางตัวก็มีผลต่อกระเพาะอาหาร เช่น ทำให้เกิดระคายเคือง  ดังนั้น การกินยาก่อนหรือหลังอาหาร   จึงมีความสำคัญขึ้นกับว่าต้องการผลของยาในแง่ใด  ปกติ เมื่อกระเพาะมีอาหารอยู่เต็ม ยาจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้น้อยกว่า และใช้เวลามากกว่าเมื่อกระเพาะว่าง

จากที่กล่าวมาแล้ว ถ้าเรากินยาก่อนอาหารทันทีม หลังอาหารทันที หรือกินยาพร้อมอาหาร จะมีความหมายแทบไม่แตกต่างกัน ซึ่งถือว่ากินยาในห้วงเวลาที่กระเพาะอาหารไม่ว่างเหมือนกัน  ดังนั้น เราจะกำหนดเวลาไปด้วยว่ากินก่อนอาการ หรือหลังอาหารนานเท่าใด จึงจะได้ผลตามที่ต้องการ จะขอแบ่งวิธีการกินยา ประกอบเหตุผล พอเป็นสังเขป ดังนี้

กินก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง 

เพราะเราต้องการให้ได้รับยาขณะท้องว่าง เพื่อให้ยาดูดซึมได้ดีที่สุด ยาพวกที่ต้องกินแบบนี้ ได้แก่       แอมพิซิลลิน, ไรแฟมพิซิล  เพนนิซิลลิน, เป็นต้น  บางที่เราต้องการให้ยาออกฤทธิ์ก่อนอาหารตกถึงกระเพาะ (จะกินก่อนอาหารนานเท่าใดขึ้นกับเวลาตั้งแต่เริ่มกิน จนถึงเวลาที่ยาออกฤทธิ์  ซึ่งยาแต่ละตัวจะแตกต่างกันบ้าง) เช่น ยาที่ลดการเกร็ง  หรือบีบตัวของกระเพาะและทางเดินอาหาร คนที่เป็นโรคกระเพาะนั้นมักจะปวดท้อง เมื่ออาหารตกไปถึงกระเพาะ  เพราะอาหารเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะลำไส้บีบตัวมากขึ้น จึงต้องให้ยาออกฤทธิ์ ลดการบีบตัวของกระเพาะลำไส้ โดยกินยาก่อนอาหาร ประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ยาออกฤทธิ์พอดีเวลาอาหาร ซึ่งจะบรรเทาอาการปวดท้องได้  ยังมียาที่กระตุ้นให้เกิด
การอาหาร ก็ต้องกินก่อนอาหาร ประมาร 1/2 ชั่วโมง  พอยาออกฤทธิ์ จะกินอาหารได้มากขุึ้น

กินหลังอาหารทันที่ = กินก่อนอาหารทันที = กินพร้อมอาหาร  ยาบางตัวหากกินตอนท้องว่างจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารมาก  ทำให้คลื่นไส้อาเจียน แต่ถ้ากินพร้อมอาหารจะช่วยลดการระคายเคืองได้ ยาพวกนี้ได้แก่ ยาแก้ปวดชนิดต่าง ๆ เช่น แอสไพริน, ย่แกเปสดข้อ เช่น เพนนิลบิวทาโซน, ไอบูโปรเฟน, อินโดเมดทาซิน เป็นต้น  นอกจากกินพร้อมอาหารแล้ว ยาที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น แอสไพริน การกินน้ำตามมาก ๆ เพื่อไปเจือจาง หรือลดความเป็นกรดให้น้อยลง ก็ช่วยลดการระคายเคืองได้

กินยาหลังอาหาร 1 ชั่วโมง

ยาบางชนิดจะออกฤทธิ์นาน เมื่อกินหลังอาหาร เช่น ยาลดกรด ซึ่งมีผู้ทดลองได้ผลว่า ถ้าให้ยาในขณะที่ท้องว่างยาจะออกฤทธิ์นาน ประมาณ 30 นาที แต่ถ้าให้ยาหลังอาหาร 1 ชั่วโมง ยาจะออกฤทธิ์นาน 4 ชั่วโมง  ดังนั้น จึงกำหนดให้กินหลังอาหาร 1 ชั่วโมง ไหน ๆ ก็พูดถึงยาก่อนอาหาร, ลังอาหาร, พร้อมอาหารแล้ว  ขอพูดถึงยากินก่อนนอนสักเล็กน้อย  ยาบางชนิดกินแล้วทำให้ง่วงมึนงง เช่น ยาคลายกังวล, ยาแก้แพ้ซึ่งเป็นส่วนผสมของยาแก้หวัด ลดน้ำมูก จึงควรกินก่อนนอน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ปลอดภัยในขณะทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร หรือขับรถในเวลากลางวันแล้ว ยังทำให้หลับได้อย่างสบสยในเวลากลางคืนอีกด้วย

จึงขอสรุปได้ว่า  จะกินยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหาร ขึ้นกับวัตถุประสงค์ในการให้ยานั้น ๆ ออกฤทธิ์ให้ได้ผลมากที่สุด มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ส่วนจะก่อน - หลังนานเท่าใดนั้น  ขึ้นกับเวลาตั้งแต่เริ่มกินยาจนถึงเวลาที่ยาดูดซึมเข้าผนังทางเดินอาหารหมด  หรือาจเลยไปถึงเวลาที่ยาออกฤทธิ์ แล้วแต่ว่าเราต้องการผลอันไหน

คงจะเห็นแล้วว่า เวลากินยาก่อน หรือหลังอาหารมีความสำคัญเพียงใด  ดังนั้น  เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด  ผู้ป่วยควรกินยาตามเวลาที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ผลดีก็จะตกอยู่กับตัวของผู้ป่วยเอง

ที่มา : http://www.manager.co.th/
ภาพ : http//www.yaandyou.net
update : 15/02/2554

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

















เตือน! วัยรุ่นตาบอดก่อนวัย จักษุแพทย์ ม.รังสิต แนะวิธีถนอมสายตา

จักษุแพทย์ ม.รังสิต แนะวิธีถนอมดวงตาเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน เตือน วัยรุ่นผู้ใช้คอมพิวเตอร์ควรกระพริบตา 10-15 ครั้งต่อนาที เพื่อป้องกันอาการตาแห้ง เผยคอมพิวเตอร์ไม่ใช่สาเหตุของการเป็นต้อ ยังมีโรคตาอีกมากมายที่ไม่ใช่ต้อแต่ทำให้คนไทยตาบอด

พญ.วัฒนีย์ เย็นจิตร รองคณบดีคณะทัศนมาตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงการใช้สายตาในชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่ว่า ปัจจุบันคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์สำคัญในการใช้ชีวิตประจำวันดังนั้นควรใช้สายตาในการใช้งานให้ถูกต้อง โรคตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานเรียกว่า Computer Vision Syndrome (CVS) ซึ่งประกอบไปด้วย
  1.  ปัญหาปวดเมื่อยตา เกิดจากการใช้สายตานานๆ จึงควรหยุดพักสายตาเป็นระยะ ทุก 20-30 นาที ให้มองไปยังพื้นที่กว้างนอกจอคอมพิวเตอร์ 30-60 วินาที แล้วจึงมาทำงานต่อไป
  2. ปัญหาเคืองตา ปกติดวงตาของมนุษย์จะมีน้ำตาเคลือบตลอดเวลา เพื่อช่วยในการหักเหของแสง ทำให้มองเห็นชัด และล้างสิ่งแปลกปลอมหรือสารพิษออกจากดวงตา ถ้าน้ำตาเคลือบผิวตาน้อยกว่าปกติ จะทำให้มีอาการแสบตา ตามัว เคืองตาเป็นระยะ การใช้คอมพิวเตอร์ทำงานนานๆ ทำให้ผู้ใช้กระพริบตาน้อยกว่าปกติ หรือ ลืมกระพริบตา โดยปกติแล้วคนเรากระพริบตา 10-15 ครั้งต่อนาที ทั้งนี้การใช้คอมพิวเตอร์มักทำให้ผู้ใช้ติดนิสัยเบิกตานานๆ หรือมีพฤติกรรมการมองตรงโดยไม่ได้มองลงเหมือนเช่นการอ่านหนังสือที่หนังตาต้องปิดลงมาเกือบครึ่งหนึ่ง ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์มักมีอาการตาแห้ง แสบตา เคืองตา ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จึงควรหลับตาพักขณะใช้งานบ้าง เพื่อให้น้ำตามาหล่อเลี้ยงตาได้ หากอาการยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้ใช้น้ำตาเทียมเพื่อแก้ปัญหา 
  3. ปัญหาตามัว มักพบในเด็กที่เล่นคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานเกินไป ปกติภาวะสายตาสั้น ยาว เอียง จะถูกกำหนดมาจากกรรมพันธุ์ พฤติกรรมการใช้สายตาอาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมากนัก แต่ถ้าเด็กใช้สายตาเพ่งนานๆ อาจเกิดภาวะคล้ายสายตาสั้น คือ มองไกลไม่ชัด ในระยะแรกอาจเป็นชั่วคราว จึงไม่ควรให้เด็กใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ ในผู้ใหญ่ก็เช่นเดียวกัน การใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ทำให้มีอาการปวดศีรษะ เมื่อยตา โดยเฉพาะคนที่มีสายตาผิดปกติต้องใส่แว่นแก้ไขให้พอเหมาะตาแห้ง
  4. ปัญหาอื่นๆ เช่น กระดูกและข้อ ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จะต้องให้ความสำคัญกับการนั่ง โดยศีรษะควรอยู่สูงกว่าจอคอมพิวเตอร์เล็กน้อยจะได้ไม่ต้องเงยหน้ามาก ป้องกันอาการล้าบริเวณลำคอ ทั้งนี้หลายคนเกรงว่าคอมพิวเตอร์อาจมีรังสีแผ่ออกมาจากจอภาพเป็นอันตรายต่อดวงตา แต่ปัจจุบันนี้กลับพบน้อยมากเพราะคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อตาและต่อร่างกาย ผู้ใช้จึงไม่จำเป็นต้องใช้แผ่นกรองแสงหรือแว่นตากรองแสงช่วยเหมือนที่ผ่านมา
 “การใช้สายตาในสถานที่ที่มีแสงสว่างน้อย จะทำให้ต้องเพ่งสายตามากจนเกิดอาการเมื่อยตา หากมีการใช้สายตานานๆ ทุก 20-30 นาที ควรพักสายตาโดยมองออกไปไกลๆ หรือมองออกไปนอกหน้าต่าง 30-60 วินาที เพื่อให้กล้ามเนื้อตาได้ผ่อนคลาย ทั้งนี้ใน 1 ชั่วโมงของการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้ควรพักสายตา 5-10 นาที ในชีวิตประจำวัน ทุกคนควรนอนหลับอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมงจึงจะเพียงพอต่อการพักผ่อนร่างกายและสายตา การอดนอนจะทำให้ดวงตาพักผ่อนน้อย จะทำให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกับการใช้สายตาติดต่อกันนานๆ คือ แสบตา เคืองตา ตาแห้ง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตา และปวดศีรษะ” พญ.วัฒนีย์ กล่าว

รองคณบดีคณะทัศนมาตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวเพิ่มเติมถึง “โรคต้อ” ว่า ต้อ เป็นคำรวมเรียกโรคตาหลายชนิดที่ทำให้ตามัว แต่การใช้คอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวันไม่ได้มีผลทำให้ผู้ใช้เป็นต้อ ทั้งนี้ โรคต้อที่ได้ยินบ่อยๆ ได้แก่

1. ต้อลม เป็นเยื่อหรือก้อนนูนสีขาวปนเหลืองบริเวณหัวตา เกิดจากการถูกสิ่งระคายเคือง เช่น ลม ฝุ่น แสงแดด เป็นเวลานานๆ ทำให้เคืองตา แต่ไม่ทำให้ตาบอด ป้องกันโดยใส่แว่นกันแดด

2. ต้อเนื้อ เป็นโรคที่ต่อเนื่องมาจากต้อลม แต่เยื่อหรือก้อนนูนลามเข้ามาถึงกระจกตา เห็นเป็นเนื้อเยื่อรูปสามเหลี่ยมบริเวณหัวตาและหางตา ส่วนมากจะมีสีแดง เกิดจากการถูกสิ่งระคายเคืองมานานหลายปี ทำให้มีอาการเคืองตา ถ้าต้อลามมากถึงรูม่านตา จะมีอาการตามัว บางครั้งทำให้เกิดสายตาเอียงได้ ถ้าเป็นไม่มากให้ใส่แว่นกันแดดและหยอดตาแก้ระคายเคือง ไม่ควรซื้อยาหยอดเอง เพราะอาจมียาที่ผสมฮอร์โมนสเตอรอยด์ ทำให้ตาบอดได้ ถ้าเป็นมากแนะนำให้ผ่าตัดออก การดูแลหลังผ่าตัดสำคัญมาก มิฉะนั้นจะเป็นซ้ำอีกได้ ป้องกันโดยใส่แว่นกันแดด

3. ต้อกระจก เป็นโรคที่เกิดจากการขุ่นของเลนส์ตา เป็นการเสื่อมสภาพ พบมากในผู้สูงอายุ แต่อาจมีบางชนิดเป็นต้อกระจกตั้งแต่กำเนิด หรือเป็นหลังจากมีอุบัติเหตุบริเวณหน้าและตาได้ เมื่อมองผ่านรูม่านตาผู้สูงอายุเข้าไป จะเห็นเป็นฝ้าขาวแทนสีดำใส มองคล้ายกระจกที่เป็นฝ้า ทำให้ผู้ป่วยมองภาพมัวคล้ายเป็นหมอกที่เห็นไม่ชัด ซึ่งอาจทำให้ตาบอดได้ ต้องแก้ไขโดยการผ่าตัดสลายต้อและใส่เลนส์ (แก้วตา) เทียม บางครั้งหลังผ่าตัดไปนานๆ จะเกิดตามัวอีก เพราะเปลือกเลนส์ขุ่น เมื่อมายิงเลเซอร์ก็จะเห็นดีเหมือนเดิม เป็นโรคตาบอดที่รักษาให้กลับมาเห็นดีเหมือนเดิมได้
 
4. ต้อหิน เป็นโรคตาที่ร้ายแรงที่สุด เพราะมีการทำลายขั้วประสาทตา เกิดจากความไม่สมดุลของน้ำที่ไหลเวียนในตา เช่น การระบายออกของน้ำน้อยเกินไป ทำให้มีน้ำมาก กดดูพบว่าตาแข็งกว่าปกติ มีความดันตาสูงกว่าปกติ จึงเรียกว่าต้อหิน หรือการไหลเวียนของเลือดที่มาเลี้ยงขั้วประสาทตาไม่ดี ทำให้ขั้วประสาทตาตายโดยความดันตาไม่สูง พบมากในหมู่คนไทย ทำให้ตาบอดได้อย่างช้าๆ โดยบอดมาจากบริเวณริมๆ ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ต้อหินบางชนิดมีความดันตาสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน มีการปวดหัว ปวดตา ตามัวทันที ทำให้ตาบอดได้อย่างรวดเร็ว แพทย์จะรักษาด้วยการให้ยาจนความดันตาลดลง และยิงเลเซอร์หรือผ่าตัดทันที การไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาต้อหินจะใช้เวลามาก เพราะต้องวัดความดันตา ตรวจลานสายตา ดูขั้วประสาทตา ผู้ที่มีประวัติต้อหินในครอบครัว ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ล้วนเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นต้อหินได้ ต้องมาตรวจคัดกรองจากจักษุแพทย์ โดยเฉพาะเมื่ออายุ 40 ปี หากเริ่มใส่แว่นอ่านหนังสือครั้งแรกจะต้องวัดความดันตาครั้งแรกด้วย
 
ทั้งนี้ควรตรวจตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หากมีอาการปวดหัว ปวดตา ตามัว ควรไปพบจักษุแพทย์ทันที ต้อหินเป็นโรคตาที่รักษาให้กลับมาเห็นดีเหมือนเดิมไม่ได้ จึงป้องกันไว้ดีกว่าแก้ ในทางการแพทย์ทำได้เพียงการรักษาไม่ให้ตามัวมากกว่าเดิม โดยการยิงแสงเลเซอร์ป้องกันในคนที่มีมุมม่านตาแคบ และเมื่อทราบว่าเป็นต้อหิน ก็ต้องใช้ยาสม่ำเสมอ และไม่ซื้อยาหยอดตาใช้เอง
 
พญ.วัฒนีย์ กล่าวแนะนำทิ้งท้ายว่า การลอกหรือผ่าตัดตาสามารถทำได้ข้างละ 1 ครั้งเท่านั้น การจะผ่าตัดตาจะขึ้นกับโรค หากเป็นต้อเนื้อและ ต้อกระจกผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัดก็ต่อเมื่อสายตามัวมากจนใช้ชีวิตประจำวันไม่สะดวก

“ในกรณีต้อกระจก หากผ่าตัดแล้วมีอาการกลับมาตามัวอีก แพทย์จะรักษาโดยการยิงเลเซอร์ สำหรับต้อหิน ผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัดก็ต่อเมื่อควบคุมความดันตาด้วยยาหยอดตาไม่ได้หรือไม่สามารถใช้ยาหยอดตาให้สม่ำเสมอได้แล้ว ทั้งนี้กรณีของต้อหินอาจพบการผ่าตัดมากกว่า 1 ครั้งได้ อย่างไรก็ตามยังมีโรคตาอีกมากมายที่ไม่ใช่ต้อ แต่สามารถทำให้ตาบอดได้”


ที่มา : www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9540000013382
update : 1 กุมภาพันธ์ 2554